จากกรณีเมื่อช่วงค่ำวันที่ 20 มีนาคม 2567 ร.ต.อ.อำพร นิลบรรพต หน.ชปข.ร้อย ตชด.434 ร.ต.ท.ชูศักดิ์ ชูทอง รอง หน.ชุด พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.434 พัทลุง เข้าจับกุม นายผกาเพชร อายุ 28 ปี นายธนากร อายุ 20 ปี พร้อมของกลางปืนลูกซอง จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนขนาดเบอร์ 12 จำนวน 2 นัด รถยนต์ สีขาว 1 คัน โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและพกพาอาวุธปืนเข้ามาในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรหรือความจำเป็นเร่งด่วน




สืบเนื่องจากช่วงเย็นวันดังกล่าว ได้มีรถยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 2 คัน ขับเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านของ ด.ต.สุรัติ อายุ 33 ปี และได้มีกลุ่มชายฉกรรณ์จำนวน 5 คน ลงจากรถและได้เดินเวียนมาทางบริเวณหลังบ้าน ด.ต.สุรัติ ทำให้ ด.ต.สุรัติ สงสัยจึงได้สอบถามกลุ่มชายฉกรรณ์ดังกล่าวว่ามาทำอะไร กลุ่มชายฉกรรณ์จึงได้แจ้งให้กับ ด.ต.สุรัติ และ ด.ต.กฤติพล มาหาทรัพย์สินซึ่งได้ทำตกหล่นไว้บริเวณดังกล่าว


จากนั้น ด.ต.สุรัติ และ ด.ต.กฤติพล จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและให้บุคคลดังกล่าวนั่งรอ สอบถามทราบชื่อ นายผกาเพชร หรือ สุบิน กับนายธนากร หรือเฟิร์ส จากนั้น ด.ต.สุรัติ กับ ด.ต.กฤติพล จึงได้แสดงความบริสุทธิ์ใจขอทำการตรวจค้นตัว ปรากฏไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายแต่อย่างใด




ขณะนั้น ด.ต.สุรัติ จึงได้โทรศัพท์แจ้งให้กับ ร.ต.ท.ชูศักดิ์ ชูทอง รอง หน.ชุด ตชด 434 ทราบเพื่อประสานกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าตรวจสอบ ขณะนั้นนายสุพล หรือผู้ใหญ่จอม เป็นผู้ใหญ่บ้านใน ม.8 ต.ปรางหมู่ อ.เมือง จ.พัทลุง ได้เดินมุ่งหน้าไปยังรถยนต์ของกลางที่ตำรวจยึดไว้ และพยายามจะเปิดประตูรถยนต์ 2 ครั้ง แต่ประตูรถล็อกอยู่ ผู้ใหญ่จอมจึงได้ตะโกนเรียกให้ผู้ถูกจับ เปิดล็อกประตรถยนต์เพื่อจะหยิบอาวุธของกลางออกมา แต่ผู้ที่ถูกจับไม่ได้เปิดล็อกประตูรถยนต์ให้กับผู้ใหญ่ ต่อมาผู้ใหญ่จอมจึงได้แสดงอาการท่าทางไม่พอใจหลังจากนั้นผู้ใหญ่จอมพร้อมกับพรรคพวกจำนวน 2 คน ได้ขับรถออกไปจากที่เกิดเหตุดังกล่าว


ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำการตรวจค้นรถยนต์ จากการตรวจสอบปรากฏ พบ อาวุธปืนลูกซอง ในรังเพลิงมีกระสุนจำนวน 2 นัด วางอยู่เบาะหลังภายในรถยนต์ของกลาง จากการสอบถามผู้ถูกจับทั้ง 2 ให้การว่า อาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบเป็นของนายสุพล หรือผู้ใหญ่จอม ซึ่งเป็นพ่อของนายธนากร ผู้ถูกจับ เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้นำตัวผู้ถูกจับทั้ง 2 คน นำตัวผู้ต้องหา นำส่ง พงส.สภ.นาขยาด จ.พัทลุง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป




ขณะก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 6 คน ที่เป็นลูกชายผู้ใหญ่จอมคือนายธนากร พร้อมพวก 6 คน พกอาวุธปืนพกสั้นทุกคน ได้ขับรถกระบะคันสีขาวที่ถูกยึด รถยนต์เก๋งสีดำ และรถฟอร์จูนเนอร์ ขับเข้ามายังบ้านนายสมพล นางถนอมจิต สองสามีภรรยา ใกล้กับหลังเกิดเหตุเมื่อช่วงค่ำ โดยขับมาถึงจอดรถหน้าบ้านดังกล่าวแล้วชักอาวุธปืนออกมาปิดล้อมบ้านหลังดังกล่าว เมื่อเจ้าของบ้านเห็นได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 6 คน เห็นตำรวจก็ต่างกันหลบหนี คนละทิศคนละทาง โดยได้ทิ้งรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึด และทางเจ้าของบ้านไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.นาขยาด ในข้อหาบุกรุก และพกพาอาวุธปืน


ต่อมาในช่วงเย็นย้อนกลับมาอีกครั้ง โดยใช้รถยนต์ 2 คัน ขับรถมาจอดหน้าบ้าน ด.ต.สุรัติ ก่อนถูกควบคุมตัวไว้ได้ 2 คน ส่วนผู้ใหญ่จอม พร้อมพวกอีก 2 หลบหนี และถูกแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว


ด้านนายธนากร ลูกชายผู้ใหญ่จอม กล่าวว่า จริง ๆ แล้วไม่ได้เข้าไปบุกรุกหรือหาเรื่อง โดยในตอนบ่ายได้ยกพวกไปจริง เพื่อไปหาลูกชายนายสมพล และนางถนอมจิต สองสามีภรรยา เพื่อทำความเข้าใจกัน แต่เจอตำรวจมาเสียก่อนทำให้ทุกคนตกใจวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง กระเป๋าสตางค์หล่นหาย จึงย้อนกลับมาหาอีกครั้งเท่านั้น




ส่วน ด.ต.สุรัติ เจ้าของบ้านหลังที่ 2 ที่กลุ่มผู้ใหญ่จอม ลูกชาย และพวก เข้ามาบุกรุก กล่าวว่า คือสงสัยในพฤติกรรมที่ต้องสงสัย เลยขอตรวจค้น แต่ทางผู้ใหญ่บ้านไม่ยอม และจะเอาอาวุธปืนออกมาจากรถอีก ซึ่งหากเอาอาวุธปืนออกมาจากรถยนต์ได้ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่พรรคพวกได้พาหลบหนีออกไปดังกล่าว




ล่าสุดทีมข่าวได้พูดคุยกับนายสุพล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ซึ่งเป็นพ่อของนายเฟิร์ส (กลุ่มผู้ก่อเหตุ) เล่าว่า ตนนั้นไม่รู้ว่าที่ผ่านมาลูกชายของตนไปมีเรื่องอะไรกับคู่กรณี เพราะที่ผ่านมาลูกชายก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย จนกระทั่งเหตุการณ์เมื่อวานนี้นายเฟิร์สก็เข้ามาหาตนพร้อมกับบอกว่า “พ่อช่วยผมหน่อย เพื่อนผมไปมีเรื่องมา”


ตนจึงได้สอบถามราวเรื่องจนทราบว่าลูกชายและเพื่อนได้บุกเข้าไปหาเรื่องนายคิวที่บ้าน แต่นายเฟิร์สนั้นอ้างว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เพียงแค่ติดรถไปกับเพื่อนเฉย ๆ หลังจากได้ยินดังนั้น ตนที่เป็นผู้ใหญ่บ้านจึงได้เดินทางไปที่บ้านนายคิวทันที เพื่อขอพูดคุยไกล่เกลี่ยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อไปถึงบ้านก็ไม่พบกับนายคิว แต่กลับพบนางถนอมจิตที่เป็นแม่ของนายคิว นายสุพลจึงได้ยกมือไหว้ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการเจรจาว่าในวันพรุ่งนี้จะให้เด็กทั้งสองฝ่ายมาปรับความเข้าใจกัน ซึ่งในตอนนั้นนางถนอมจิตก็ยินดีที่จะพูดคุยและไม่ติดใจเอาความอะไร โดยนายสุพลยืนยันว่าไม่ได้มีการบังคับหรือใช้เงินปิดปากแต่อย่างใด


จนกระทั่งช่วงเย็นเมื่อวานนี้ นายเฟิร์สลูกชายของตนก็ได้บอกว่าเพื่อนของเขาทำกระเป๋าสตางค์ตกอยู่บริเวณบ้านของนางถนอมจิต ในฐานะผู้ปกครองตนจึงพาลูกชายและเพื่อนเข้าไปหากระเป๋าสตางค์ โดยยืนยันว่ามีการขออนุญาตนางถนอมจิตก่อนจะเข้าบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนางถนอมจิตก็ยินดีและให้เข้าไปค้นหาได้ เมื่อค้นหาไปซักประมาณ 5 นาทีก็เจอกับกระเป๋าสตางค์ที่ร่วงตกอยู่




หลังจากเจอแล้วตนพร้อมลูกชายและเพื่อนของลูกชายก็เตรียมจะกลับบ้านทันที แต่จู่ ๆ ทางด้านตำรวจซึ่งคาดว่าเป็นญาติของนางถนอมจิต ก็บุกเข้ามาพร้อมอาวุธปืนและตะโกนสั่งให้ลูกชายของตนหมอบลงไปกับพื้น ทั้งยังใช้ปืนพูดจาข่มขู่และสั่งให้ไปโรงพัก ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำพฤติกรรมแบบนั้น ในเมื่อตอนแรกเราก็มีการตกลงกันได้ด้วยดีแล้วและตนก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเลย ตนยินดีปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายอยู่แล้ว


ส่วนประเด็นของอาวุธปืนที่อีกฝ่ายอ้างว่าลูกชายของตนนั้นนำไปข่มขู่หรือก่อกวน นายสุพล ขอยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เนื่องจากปืนดังกล่าวนั้นเป็นของตนซึ่งใช้ในการปฏิบัติงานตามตำแหน่งหน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน แต่สาเหตุที่ตนต้องพกปืนไว้ในรถเป็นเพราะประตูบ้านของตนนั้นชำรุด ตนจึงไม่อยากนำปืนเอาไว้ในบ้านเพราะเกรงว่าอาจจะมีคนบุกเข้าไปได้ตลอดเวลา แต่ในรถนั้นสามารถล็อกประตูได้ตนจึงคิดว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยมากกว่า และขอยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายใครเลย


ท้ายที่สุดตนก็ได้มีการพูดคุยตักเตือนกับลูกชายและเพื่อนแล้ว ว่าหลังจากนี้ห้ามไปก่อกวนหรือวุ่นวายกับบ้านของนายคิวหรือนางถนอมจิตอีก หากมีเรื่องอะไรก็ให้บอกตน แล้วตนจะเข้าไปพูดคุยไกล่เกลี่ยให้เอง ขอยืนยันว่าการที่เด็กวัยรุ่นนั้นทะเลาะกันไม่ได้ส่งผลให้ผู้ใหญ่ต้องมาทะเลาะกันตามเด็ก ผู้ใหญ่มีหน้าที่ในการช่วยปรับความเข้าใจให้เด็กทั้งสองฝ่ายคืนดีกัน




ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนางถนอมจิต ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน เผยว่า กลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุนั้นเคยเป็นเพื่อนสนิทของลูกชายตน โดยตนรู้จักอยู่ 2 คน คือนายสุบินและนายเฟิร์ส (ลูกผู้ใหญ่บ้าน) ซึ่งเมื่อก่อนนายสุบินและนายเฟิร์สก็เคยมาเที่ยวเล่นอยู่ที่บ้านตนเป็นประจำ มากินข้าว มานอนค้างอยู่กับลูกชายของตน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้รวมถึงลูกชายของตนก็จะเป็นเด็กที่ค่อนข้างเกเรก้าวร้าวกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่เคยไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใคร


จนกระทั่งช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ตนก็ไม่แน่ใจว่าลูกชายของตนนั้นไปมีเรื่องอะไรกับกลุ่มเพื่อน เนื่องจากเมื่อเดือนก่อนนายสุบินและนายเฟิร์สได้ยกพวกมาบุกที่บ้านของตนเป็น 10 คน โดยมีการมาถามว่า “คิวอยู่ไหม มาทวงเงินจากคิว” ซึ่งตอนนั้นเด็กวัยรุ่นกลุ่มก่อเหตุก็บอกว่าลูกชายของตนไปติดหนี้จำนวน 50,000 บาท แค่ตนก็ได้สอบถามลูกชายแล้วว่ามันไม่เป็นความจริง ความจริงคือลูกชายตนติดหนี้ 25,000 บาท และก็ได้จ่ายไปครบหมดแล้ว แต่อีกฝ่ายนั้นไม่ยอมและอยากได้เพิ่ม จึงเป็นเหตุให้บุกมาถึงบ้านและก่อกวนในครั้งที่ 1


และหลังจากก่อเหตุในครั้งแรกไม่สำเร็จ นายสุบินและนายเฟิร์สก็ยกพวกกลุ่มเดิมมาบุกที่บ้านอีก โดยครั้งนี้ได้มีการนำรถคันใหญ่เข้ามาด้วย พร้อมกับพยายามที่จะดึงวัวที่ตนเลี้ยงอยู่หน้าบ้านขึ้นรถไป ตนก็พยายามเข้าไปห้ามไม่ให้เอาไป ซึ่งพวกวัยรุ่นกลุ่มก่อเหตุก็ไม่ฟังและจะเอาวัวไปให้ได้ จนท้ายที่สุดตนก็ต้องตามญาติ ๆ เข้ามาช่วย พวกวัยรุ่นกลุ่มก่อเหตุจึงจะยอมถอยออกไป




และครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ (20 มี.ค.) เวลาประมาณ 12.00 น. นายสุบินและนายเฟิร์สก็ได้ยกพรรคพวกมาบุกบ้านตนเป็นจำนวน 10 คน โดยมีผู้ชาย 7 คน ผู้หญิง 3 คน ซึ่งเด็กวัยรุ่นพวกนี้ก็ทำพฤติกรรมเลียนแบบตำรวจ คือมีการวิ่งกรูกันออกมาจากรถยนต์และบุกเข้ามาภายในบ้านของตนพร้อมพูดว่า “ไอ้คิวอยู่ไหน ออกมา ออกมา” ซ้ำยังมีการแบกปืนลงมาด้วย ซึ่งตนก็พยายามบอกหลายครั้งว่าในคิวไม่อยู่บ้าน แต่วัยรุ่นพวกนี้ก็ไม่ลดละแถมยังจะพังเข้าไปค้นในบ้านอย่างอุกอาจ


จนท้ายที่สุดน้องชายของตนที่เป็นตำรวจก็เข้ามาช่วย ทำให้วัยรุ่นกลุ่มนั้นต่างพากันวิ่งหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งในตอนนั้นตนก็ไม่อยากจะเอาเรื่องเพราะเห็นว่าเป็นเด็กวัยรุ่นที่เคยรู้จักกัน แต่พอช่วงเย็นวันเดียวกัน นายสุบินและนายเฟิร์สก็ได้ย้อนกลับมาที่บ้านของตนอีกครั้ง ทำให้น้องชายที่เป็นตำรวจได้จับกุมตัวเด็กวัยรุ่นทั้ง 2 คนไปที่โรงพัก หลังจากนั้นตนจึงตัดสินใจแจ้งความเอาเรื่องทุกคนที่เข้ามาก่อกวน เพราะเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่หลังจากที่ตนแจ้งความไม่กี่ชั่วโมง


ทางด้านของพ่อนายเฟิร์สซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ได้เข้ามาหาตนถึงบ้านพักพร้อมกับยื่นข้อเสนอเป็นเงินจำนวนหนึ่ง แลกกับการถอนแจ้งความ โดยผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวพยายามที่จะพาตัวตนไปโรงพักเพื่อถอนแจ้งความ แต่ตนก็ปฏิเสธเพราะตนไม่ได้ต้องการเงิน ในตอนนี้ตนไม่ได้อยากมีเรื่องอะไรกับใคร ตนเพียงต้องการความปลอดภัยให้กับครอบครัวก็เท่านั้น

 

ผู้ใหญ่บ้านกร่าง! ยกพวกบุกบ้านอริ เคลียร์แค้นให้ลูกชาย