จากกรณีเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 26 ก.พ. ทีมข่าวได้รับการรายงานว่ามี 1 ใน 5 ผู้ต้องหา คดีบุกรุกบ้านของอากู๋เหม (บ้านปรปักษ์) โดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกคอทำตัวเองจนเสียชีวิต ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ทราบชื่อภายหลังนางสาวภาณุมาศ หรือนุ หนึ่งในผู้ต้องหาถูกแจ้งความในข้อหา บุกรุกเคหสถาน และทำให้เสียทรัพย์ หลังตำรวจได้ส่งสำนวนให้อัยการแล้วเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา

 

ล่าสุด ทีมข่าวของเรา ได้พูดคุยกับ ทนายวัฒนา เรืองแก้ว ทนายความของผู้ตาย ซึ่งเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์เนื่องจากว่าขณะนี้ทนายวัฒนาเดินทางไปต่างจังหวัดอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่

 

ทนายวัฒนาเปิดเผยว่า ได้รับทราบข่าวสารจากสามีของนางสาวภาณุมาศผู้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งก่อนเกิดเหตุเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณภาณุมาศอยู่ตลอดโดยเฉพาะล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นางสาวภานุมาศ ได้โทรมาปรึกษาเกี่ยวกับคดีความ พร้อมกับบอกกับทนายวัฒนาว่า ตอนนี้ค่อนข้างเครียดมากที่ถูกกดดันจากสังคม โดยเฉพาะสื่อที่ประโคมข่าวว่าตัวเองไปฟ้องปรปักษ์บ้านหลังนั้นดังกล่าว แล้วถูกผู้คนในสังคมเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันมากจนเกินเห็นสมควร ก่อนที่นางสาวภาณุมาศ จะจบชีวิตตัวเองนั้นยังได้บอกกับทนายวัฒนาอีกด้วยว่า ตัวเองตกเป็นผู้ร้ายของสังคมไปแล้ว ทั้งทั้งที่คดีนี้ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก ที่สำคัญคือนางสาวภานุมาศยืนยันกับทนายวัฒนาว่าไม่ได้ผิด ไม่ได้มีเจตนาบุกรุก อยากจะไกล่เกลี่ยมากกว่า

แต่เมื่อทีมข่าวถามว่าหลังจากโดนแจ้งข้อหาบุกรุกไปแล้วเหตุใดทางครอบครัวของนางสาวภานุมาศจึงได้ดำเนินคดีในข้อหาขอครอบครองปรปักษ์บ้านหลังดังกล่าว ทนายวัฒนาชี้แจงว่าเป็นคนละส่วนกัน เพราะส่วนที่แจ้งความครอบครองปรปักษ์กับเจ้าของบ้านหลังนั้นดังกล่าวนั้นเป็นความต้องการของ พี่สาวของนางภานุมาศ เพราะ พี่สาวของนางสาวภานุมาศ เคยคิดที่จะครอบครองปรปักษ์ก่อนที่จะถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกซะด้วยซ้ำ ยืนยันว่าตัวนางสาวภานุมาศที่เสียชีวิตนั้นไม่ได้มีความต้องการในการครอบครองปรปักษ์บ้านหลังดังกล่าว แต่อาจจะเป็นเพราะว่าตัวพี่สาวของคุณภานุมาศอาจจะไม่ได้มีความพร้อม จึงมาขอให้นางสาวภานุมาศช่วยในการยื่นเรื่องเพื่อขอครอบครองปรปักษ์

 

ทนายวัฒนายืนยันว่านางสาวภานุมาศไม่เคยอยากได้ของใครฟรีฟรี แต่ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนั้นเพราะมีความปรารถนาดีกับพี่สาวและเป็นคนจิตใจดี

 

นอกจากนั้นทนายวัฒนามองว่า การที่ทนายความฝ่ายตรงข้ามมีสื่ออยู่ในมือและพยายามกดดัน ทำให้เจ้าตัวเกิดอาการเครียดจนโรคประจำตัวก็กำเริบขึ้น จนมีอาการจิตตก ที่ผ่านมาตนเองก็ มีการพูดคุยให้กำลังใจอยู่บ้าง ล่าสุดตอนนี้ได้พูดคุยกับญาติผู้เสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางไปพบญาติในเร็วๆนี้

 

ส่วนในทางกฎหมาย ที่นางสาวภานุมาศผู้เสียชีวิตถูกแจ้งความในข้อหา บุกรุกนั้น ในความเป็นจริงแล้ว มีข้อต่อสู้อยู่ แต่ทางฝั่งลูกความตนเองถูกดำเนินคดีอาญาไปด้วย และในช่วงของการไกล่เกลี่ย ฝั่งคู่กรณีก็ ตั้งราคาบ้านสูงเกินไป จนทำให้นางสาวภานุมาศไม่สามารถ ซื้อได้ จึงใช้กฎหมายต่อสู้ ให้ศาลเป็นคนตัดสิน จนเกิดความเครียดและตกชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย

 

เดชา โต้กดดันคู่กรณี ฟาดคนแนะฟ้องปรปักษ์คือต้นเหตุ

เวลา 15.00 น. นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ และนายซัน หลานอากู๋ เจ้าของบ้านที่ถูกคู่กรณียื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งครอบครองปรปักษ์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวหลังจากเกิดเหตุหนึ่งในคู่กรณีในคดีบุกรุกทำร้ายตัวเองจนเสียชีวิต (ผูกคอ) ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้น

 

โดยนายเดชา เปิดเผยว่า ตนต้องขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอากู๋เองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน จึงขออโหสิกรรมให้แต่ที่คาใจคือการที่ทนายความของคู่กรณีให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า มีการใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือกดดันจนเป็นเหตุให้ผู้เสียชีวิตตัดสินใจจบชีวิตตัวเองนั้นคงไม่ใช่สาเหตุหลัก เพราะการไปร้องเรียนแล้วมีสื่อมวลชนเป็นปากเป็นเสียงช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นการนำเสนอข่าวเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน ให้ได้รับความเป็นธรรม ตนเห็นว่าทนายคู่กรณีไม่มีความรับผิดชอบ ไปแนะนำให้ลูกความไปบุกรุกครั้งที่ 2 หรือไม่ เป็นทนายความต้องมีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ คุณธรรมต้องนำกฎหมาย โดยผู้ถูกกล่าวหามีความเชื่อมั่นในตัวทนายความคนล่าสุดมาก ว่าจะสามารถนำบ้านมาเป็นของตัวเองได้ ส่วนจะเป็นการหลอกเอาเงินลูกความหรือไม่นั่น ตนเองไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยากให้ประชาชนไปคิดเอาเอง

 

สำหรับความคืบหน้าคดีแรก ที่ผู้เสียหายได้แจ้งความข้อหาบุกรุกกับผู้ถูกกล่าวหา 5 คนนั้น พนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งฟ้องวันที่ 6 มีนาคมนี้ เวลา 09.00 น. เมื่อผู้ต้องหาเสียชีวิตไป 1 คน ก็ต้องจำหน่ายออกจากคดี ซึ่งแนวทางที่อัยการจะสั่งคดี มีทั้งหมด 3 แนวทาง คือ สั่งฟ้องทั้งหมด, สั่งสอบเพิ่มเติม และสั่งไม่ฟ้อง

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สามีของผู้ตายพร้อมกับสามีของผู้ถูกกล่าวหาอีกคน ได้มาพบกับตนเองและโทรศัพท์มาพูดคุยกับทนายเดชาว่า ภรรยาได้สำนึกผิดในการบุกรุกเข้าไปในบ้านของอากู๋ ซึ่งยินดีแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด และติดต่อไปยังอากู๋ ต้องการที่จะเข้ากราบอากู๋ ก่อนที่จะเสียชีวิต มีความพยายามหลายครั้ง ซึ่งตนเองพยายามที่จะเป็นคนกลาง ช่วยคุยกับอากู๋ทั้งค่าเสียหาย และเรื่องคดีต่างๆ แต่อาจเป็นเพราะยังเจรจายังไม่ไปถึงไหน จึงอาจทำให้เกิดความเครียดตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าวขึ้นเสียก่อน

 

ทนายเดชา เผยอีกว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นผู้เสียชีวิตก็เสียใจ พยายามที่จะมาเยียวยาค่าเสียหาย ซึ่งคนที่ร้องศาลให้มีคำสั่งครอบครองปรปักษ์ ไม่ใช่ผู้เสียชีวิต แต่เป็นพี่สาวของผู้เสียชีวิต ซึ่งผู้เสียชีวิตก็รู้สึกสำนึกในการกระทำและพร้อมเยียวยาค่าเสียหายทั้งหมด โดยผู้ตายได้ส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันไลน์ให้ทนายความและแฟนของนายซัน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีข้อความระบุว่า “ยังไงก็คิดซะว่าทำบุญให้คนป่วยแบบพี่ด้วยนะคะ“ แต่ด้านเจ้าของบ้านก็ไม่ได้มีการส่งข้อความตอบกลับไป

 

ด้านนายซัน หลานชายของอากู๋ ก็ได้ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายตนก็พร้อมที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยที่ชั้นศาล แต่ทางตนไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้ ส่วนกรณีที่ทางทนายความคู่กรณีกล่าวโทษว่าฝ่ายตนเองพยายามใช้สื่อกดดันนั้น ฟังแล้วทำให้รู้สึกไม่ดี

 

ขณะนี้กำลังปรึกษากันว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อดี ซึ่งตนเองทราบมาว่า ผู้ถูกกล่าวหา เตรียมยื่นเรื่องขอเจรจาและจะถอนฟ้องคดีปรปักษ์ แต่มีการตรวจสอบแล้วพบว่ายังไม่ได้ถอน ซึ่งผู้ต้องหาพยายามที่จะติดต่อมาพูดตรงตรงว่า ก่อนหน้านั้นก็ยังโกรธอยู่เพราะบุกรุกมาซ้ำซ้อน แต่ตอนนี้ผ่านจุดนั้นมาแล้วเรื่องนี้จะขอว่ากันอีกที

 

ส่วนการจะขายบ้านหลังนี้ให้กับคู่กรณีหรือไม่ ดำเนินการกับคู่กรณีที่เหลืออย่างไร ต้องขอสอบถามพูดคุยกับอากู๋ก่อน เพราะตอนนี้ยังคงช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเสียใจ

"ทนายคนตาย" ซัดฝ่ายอากู๋ใช้สื่อกดดัน "เดชา" ฟาดคนแนะฟ้องปรปักษ์จะรับผิดชอบไหม?