จากเหตุการณ์ที่พบศพ นายเคียว เซย่า (KAYAW ZEYAR) อายุ 51 ปี ชาวสัญชาติเมียนมา นอนหงายจมกองเลือดอยู่กลางห้องพักชั้นที่ 23 ของแมนชั่นแห่งหนึ่งภายในซอยสุขุมวิท 4 ต่อมาทราบในภาพหลังว่าคนก่อเหตุคือนายวิลเลี่ยมและนายจอห์น (ชื่อตามคำบอกเล่าของพยาน) เป็นชาวแคเมอรูน ซึ่งหลังก่อเหตุฆาตกรรมนายเคียวเสร็จ ทั้งสองก็ได้พากันหลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 โดยมีการขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองและมีปลายทางคือประเทศสิงค์โปร์

 

ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายอู๋ (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นเอเจนซีที่ทางด้านของนางเทเทวินและนายเคียวติดต่อเข้ามาขอซื้อที่พัก โดยนายอู๋เผยว่า เมื่อช่วงเดือนปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว นางเทเทวินได้ติดต่อเข้ามาหาตนโดยตรงและบอกว่าต้องการหาที่พัก ตนจึงทำการจัดหาห้องเช่าให้ตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนนายเคียว (ผู้ตาย) นั้นจะติดต่อผ่านเอเจนซี่อีกคนและได้ตัดสินใจย้ายเข้าห้องพักในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

 

ส่วนสาเหตุที่ทั้งคู่ต้องการย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ทางด้านนางเทเทวินก็ได้อ้างว่าประเทศเขามีปัญหา จึงต้องการพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่ประเทศไทย นอกจากนี้นางเทเทวินยังอ้างอีกว่านายเคียว (ผู้ตาย) นั้นเป็นลูกบุญธรรมของเธอ ซึ่งในส่วนนี้ตนก็ไม่ได้สนใจและไม่ได้เชื่อตั้งแต่แรก เพราะลูกค้าที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็จะแต่งเรื่องให้ตัวเองดูมีภูมิฐาน และทางบริษัทไม่ได้สนใจในเรื่องส่วนตัวของลูกค้า เพียงแค่ตรวจสอบว่าเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายก็เพียงพอแล้ว

 

ซึ่งในส่วนของผู้ก่อเหตุที่ชื่อว่านายจอห์นและนายวิลเลี่ยมนั้น นายอู๋ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าตนจำไม่ผิดจะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ตนบังเอิญเจอนางเทเทวินที่ล็อบบี้ใต้คอนโด ซึ่งเธอกำลังนั่งคุยอยู่กับชายชาวต่างชาติหลายคน ซึ่งลักษณะภายนอกก็ดูจะคล้ายกับหนึ่งในผู้ก่อเหตุ จึงไม่แน่ใจว่าหนึ่งในนั้นจะมีนายวิลเลี่ยมด้วยหรือเปล่า แต่ในตอนนั้นนายอู๋เลือกที่จะเดินผ่านเพราะทางด้านของนางเทเทวินได้ค้างชำระค่าห้องพักอยู่ จึงคิดว่าหากเข้าไปทักอาจจะทำให้นางเทเทวินรู้สึกไม่สบายใจได้

 

นายอู๋ยังเล่าอีกว่า หลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับนางเทเทวินผ่านล่ามแปลภาษา และต้องขอบอกตรง ๆ ว่าตลอดเวลาที่คุยกับนางเทเทวินซึ่งอ้างตัวว่าเป็นแม่บุญธรรมของนายเคียว (ผู้ตาย) ตนไม่เห็นถึงความเสียใจของนางเทเทวินเลย เธอไม่ได้โศกเศร้าแม้แต่น้อย และประโยคที่นางเทเทวินชวนคุยส่วนใหญ่นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของนายเคียว เพราะเธอเอาแต่พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด ซึ่งนายอู๋มองว่าพฤติกรรมของนางเทเทวินนั้นค่อนข้างแปลก เพราะขนาดตนที่เป็นคนนอก ตนยังรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น คนตายทั้งคนนะ เมื่อคืนตนก็แทบไม่ได้นอนเพราะอยากที่จะช่วยเหลือผู้เสียชีวิตให้ได้มากที่สุด

 

ทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดในเวลา 20.09 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ โดยจุดนี้จะอยู่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 4 ในภาพจะเห็นว่าทางด้านของนายเคียว ซึ่งสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับตอนที่พบว่าเป็นศพ ได้เดินมาพร้อมกับนายวิลเลี่ยมและนายจอห์น โดยที่นายวิลเลี่ยมนั้นมีการลากกระเป๋าเดินทางสีดำมาด้วย 1 ใบ ซึ่งทั้งสามคนก็พากันเดินมุ่งหน้าไปยังแมนชั่นดังกล่าว

 

ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวงจรเพิ่มเติม ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ต่อเนื่องจากเวลา 22.38 น. (กล้องเมื่อวาน) / โดยกล้องวงจรปิดอีกมุมหนึ่งในเวลา 22.39 น. สามารถจับภาพนายวิลเลี่ยมและนายจอห์นที่กำลังเดินเข้าไปยังซอยสุขุมวิท 11 ซึ่งทั้งสองก็ได้เดินไปหยุดอยู่แถววินมอเตอร์ไซค์รับจ้างและมีการยืนพูดคุยอยู่ประมาณ 25 วินาที ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินต่อไปภายในซอยสุขุมวิท 11 โดยที่ไม่ได้ขึ้นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างแต่อย่างใด

 

หลังจากที่นายจอห์นและนายวิลเลี่ยมได้เดินเข้าไปภายในซอยสุขุมวิท 11 ต่อมาในเวลา 22.41 น. (เวลาจริง) กล้องวงจรปิดบริเวณกลางซอยสุขุมวิท 11 สามารถจับภาพนายวิลเลี่ยมและนายจอห์นเอาไว้ได้ ซึ่งทั้งคู่นั้นได้เดินอยู่บริเวณริมทางเท้าไปเรื่อย ๆ ตามภาพจากกล้องวงจรปิดทั้ง 3 มุม จะสังเกตเห็นว่าในจุดนี้ผู้ก่อเหตุทั้งคู่นั้นไม่ได้วิ่ง ทำเพียงแค่เดินไปอย่างช้า ๆ โดยที่เสื้อตัวนอกของนายจอห์นก็มีลักษณะคล้ายกับหลุดออกจากบ่า คาดว่าทั้งคู่นั้นคงจะเริ่มเหนื่อยล้าหลังจากที่วิ่งหนีมาไกล โดยแหล่งข่าวก็ได้ให้ข้อมูลว่าผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คนนั้นได้เดินไปจนเกือบสุดซอย และได้ขึ้นรถแท็กซี่คันสีชมพูออกไป

 

และเหตุการณ์หลังจากนั้น กล้องวงจรปิดในเวลา 03.37 น. ของวันที่ 14 ก.พ.67 บริเวณซอยศรีบำเพ็ญ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมที่นายวิลเลี่ยมและนายจอห์นพักอาศัยอยู่ประมาณ 300 เมตร จับภาพรถแท็กซี่คันหนึ่ง ซึ่งเป็นรถแท็กซี่ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุได้เรียกและโดยสารเพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบินดอนเมือง ซึ่งก็จะตรงกับข้อมูลที่ทางพนักงานของโรงแรมระบุว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุได้ทำการเช็คเอาท์และออกจากโรงแรมในช่วงเวลา 03.37 น.

 

ภาพหลักฐาน 2 ชายแก๊งเงินดำหลบหนี หลังฆ่านักธุรกิจเมียนมา

ต่อมาทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังโรงแรมย่านสาทรที่ทางด้านของนายวิลเลี่ยมและจอห์นได้พักอาศัยอยู่ ซึ่งมีระยะทางห่างจากบริเวณสถานี BTS นานา 7.2 กิโลเมตร โดยทางพนักงานได้ให้ข้อมูลว่าชาวต่างชาติตามในรูปภาพนั้นพักอาศัยอยู่ที่โรงแรมจริง แต่มีการเข้าพักทั้งหมด 3 คน ไม่ใช่ 2 คน โดยทั้งสามได้เข้าพักที่โรงแรมนี้เป็นเวลาเกือบจะ 1 เดือนแล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 13 ก.พ.67 ก็เห็นว่าชาวต่างชาติ 2 คน (จอห์นและวิลเลี่ยม) ได้นั่งรถแท็กซี่กลับมาที่โรงแรมในเวลาประมาณ 23.00 น. จากนั้นก็ได้รีบขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพัก จนในเวลา 03.35 น. ของวันที่ 14 ก.พ.67 ชาวต่างชาติก็ได้ลงมาจากห้องพักพร้อมสัมภาระและได้ทำการเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมในทันที หลังจากนั้นก็มีการออกไปเรียกรถแท็กซี่และพากันนั่งรถออกไปทั้ง 3 คน

 

จากนั้นทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายทิพย์บวร อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่พักอาศัยอยู่ในโรงแรมดังกล่าว เผยว่าตนนั้นเคยเห็นชายชาวต่างชาติ 2 คนนี้ (จอห์นและวิลเลี่ยม) เนื่องจากทั้งคู่ได้อาศัยอยู่ภายในตึกเดียวกันกับตน แต่เขาไม่ได้อยู่กันแค่ 2 คน เพราะเท่าที่ตนเห็นคือพวกเขาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คน (ไม่ใช่ผู้ตาย) โดยที่เขาได้มาเช่าอาศัยอยู่ที่โรงแรมนี้เกือบจะถึงเดือนแล้ว แต่ส่วนตัวตนก็ไม่เคยพูดคุยทักทายอะไร จะเห็นก็แต่ตอนที่เขาเดินออกจากที่พักและไปซื้อของหน้าปากซอยดึก ๆ ดื่น ๆ

 

จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณตี 3 ของวันที่ 14 ก.พ.67 ตนก็ได้เตรียมตัวออกไปทำงาน เพราะตนประกอบอาชีพขับแท็กซี่ ระหว่างที่กำลังเตรียมรถก็สังเกตเห็นชาวต่างชาติ 3 คน กำลังขนข้าวขนของลงมาจากตึก โดยมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 3 ใบ , กระเป๋ากระสอบ 1 ใบ , ถุงพลาสติกสีขาวใหญ่ 1 ใบ และกระเป๋าเล็ก ๆ อีก 2-3 ใบ ลักษณะเหมือนกับว่าพวกเขาจะย้ายออกจากโรงแรม แต่ตอนนั้นตนไม่ได้เข้าไปถามหรือไปเรียกให้พวกเขาขึ้นแท็กซี่ เพราะรถของตนนั้นค่อนข้างเล็ก แต่สัมภาระพวกเขาค่อนข้างใหญ่และเยอะ

 

หลังจากที่เตรียมรถเสร็จและกำลังจะออกไปรับลูกค้าคนอื่น ตนก็สังเกตว่าชายผิวสีคนหนึ่ง (จอห์น) ได้นั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าโรงแรมพร้อมกับสัมภาระ แต่เมื่อขับรถออกไปไม่ถึง 50 เมตร ก็เจอกับอีก 2 คน (วิลเลี่ยมและเพื่อน) กำลังยืนโบกรถแท็กซี่อยู่ตรงสามแยกหน้าร้านสะดวกซื้อ แต่หลังจากนั้นตนก็ขับรถออกไปทันที เลยไม่ทราบว่าพวกเขาขึ้นรถแท็กซี่คันไหนไป

 

นายทิพย์บวรยังเล่าอีกว่า ตนก็เพิ่งเมื่อวานนี้เพราะพนักงานในโรงแรมได้เรียกตนไปพร้อมกับเล่าว่าชาวต่างชาติ 3 คน ได้ไปก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์ ตนก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าพวกเขาเอาเวลาไหนไปก่อเหตุ เพราะเพิ่งจะเจอหน้ากันเมื่อช่วงตี 2-3 เอง แต่พอได้ดูข่าวแล้วปรากฏว่าเป็นความจริงก็รู้สึกตกใจอยู่เล็กน้อย

 

ล่าสุด ทีมข่าวเดินทางไปที่ สน.ลุมพินี เพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดี พบว่า ภรรยาของนายเคียว ผู้เสียชีวิต พร้อมครอบครัว และตัวแทนจากสถานทูตพม่า เดินทางมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยทั้งหมดรีบเข้าไปภายใน สน.ทันที โดยไม่มีใครให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันออกไปที่นิติเวชฯ คาดว่าตัวแทนจากสถานทูตน่าจะนำภรรยา และญาติของนายเคียวไปติดต่อขอรับศพ

 

โดยระหว่างที่ภรรยาของนายเคียวอยู่ด้านใน สน. ทีมข่าวสังเกตเห็นว่า ภรรยาของผู้เสียชีวิต ได้โพสต์ข้อความบางอย่างลงในโซเชียล เป็นภาษาพม่า คาดว่าน่าจะเป็นการโพสต์แสดงความอาลัยสามีที่เสียชีวิตไป

 

ทีมข่าวได้มีโอกาสสอบถาม นายทอม (นามสมมติ) ซึ่งเป็นล่าม ให้ข้อมูลเพียงสั้นๆ ว่า นายเคียว ผู้ตาย เคยรู้จักกับผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คนมาก่อน แต่เป็นระยะเวลาเพียงไม่นาน ซึ่งตนเองยืนยันว่า นายเคียว ไม่เคยร่วมทำธุรกิจด้วยกันมาก่อน เพราะตอนอยู่ที่พม่า นายเคียวน่าจะเป็นข้าราชการอะไรสักอย่าง ซึ่งตนเองไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน ส่วนการเสียชีวิตของนายเคียว ทางภรรยาผู้ตายยังคงติดใจ อยากจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และต้องการความเป็นธรรมให้กับสามี ซึ่งทางภรรยาของผู้ตายไม่รู้เรื่องเลยว่าสามีมาทำธุรกิจอะไรที่เมืองไทย และทำกับใคร

ล่าข้ามโลก! แก๊งเงินดำ อึ้งก๊วนก่อเหตุมีมากกว่า 2 พยานแฉนาทีขนสมบัติยัดกระเป๋านับสิบ