จากกรณี นายขนบ สมหวัง หรือ เสี่ยหมาส อายุ 56 ปี เจ้าของสนามไก่ชนชื่อดัง ใน อ.สวี จ.ชุมพร ได้หายตัวไปอย่างปริศนาจากบ้านพัก ในพื้นที่ หมู่ 5 ตำบลเขาค่าย อ.สวี จ.ชุมพร ช่วงคืนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 67 พร้อมรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีขาว กระทั่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ไปพบศพของเสี่ยหมาสถูกฝังอยู่ในพื้นที่ป่า เขต อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช จนล่าสุดตำรวจได้ออกหมายจับกลุ่มคนร้ายได้ทั้งหมดแล้ว มีจำนวน 5 คน

 

ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ที่ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร พลตำรวจตรีนิพนธ์ พานิชเจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้เดินทางมาประชุมติดตามความคืบหน้าคดี โดยมีตำรวจจากกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม , ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร , ตำรวจ สภ.นาสัก มาร่วมประชุมด้วย ใช้เวลาการประชุมพูดคุยกันประมาณ 1 ชั่วโมง

 

จากนั้น พลตำรวจตรีนิพนธ์ ได้แถลงข่าวถึงความคืบหน้าของคดี โดยให้ข้อมูลว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาอีก 2 คน ซึ่งยังหลบหนีอยู่ ประกอบด้วย นายสุทีป และ นายวีรภัทร โดยทั้งสองคนเป็น 2 ใน 4 ทีมอุ้มฆ่าเสี่ยหมาส ที่เจ๊อ้วน หรือ นางวันเพ็ญ ได้มีการติดต่อผ่าน นายสมชัย ในการว่าจ้าง

 

ส่วนเรื่องจำนวนเงินที่เจ๊อ้วนได้ว่าจ้างนายสมชัยในการอุ้มฆ่าสามีของเธอ ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เนื่องจาก ไม่พบการโอนเงินเข้าบัญชีกันและกัน มีเพียงคำให้การของทั้งสองฝ่ายที่อ้างว่าได้ว่าจ้างกันด้วยเงินจำนวน 100,000 บาท โดยการให้เป็นเงินสดเท่านั้น ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า มีทรัพย์สินอื่นใดอีกบ้างที่มีการให้เป็นค่าจ้างวาน

 

ส่วนเรื่องขบวนการลักรถนำไปขายล่าสุดตำรวจได้ติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมดแล้วรวม 6 คน โดยมีนายสมชัย เป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่เป็นทั้งคนติดต่อขายรถของผู้ตายหลังจากลงมือฆ่าผู้ตายเรียบร้อยแล้ว และยังเป็นผู้ขับรถฟอร์จูนเนอร์ของผู้ตายไปส่งมอบให้กับทีมรับซื้อรับที่กรุงเทพ ซอยเจริญนคร 50 ด้วยตัวเองอีกด้วย ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เวลา 14.44 น.

 

คดีนี้ถึงแม้ว่ากลุ่มผู้ต้องหาจะพยายามทำลายหลักฐาน และทิ้งเวลาเกือบ 2 เดือน แต่ตำรวจยืนยันว่าไม่เคยละความพยายาม โดยพยายามจะแกะรอยผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดมาเรื่อยๆ จนเมื่อมีหลักฐาน ทั้งข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด รวมถึงหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด ทำให้เริ่มรู้ตัวผู้ร่วมขบวนการมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

จนสุดท้าย ตำรวจได้ไปเจอเบาะแสสำคัญจากการแกะรอยในทางลับ (แกะรอยสัญญาณโทรศัพท์ของกลุ่มผู้ต้อง) จนกระทั่งในวันที่ 24 กุมพาพันธ์ ที่ผ่านมา จึงไปทราบว่า กลุ่มผู้ต้องหาได้นำรถเก๋งซีวิคสีบรอนซ์ 1 ในรถที่ใช้ขนศพเสี่ยหมาส ไปชำแหละและโยนทิ้งบ่อน้ำในสวนปาล์ม พื้นที่ อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช ทำให้ตำรวจยิ่งมั่นใจว่า ศพน่าจะอยู่ไม่ไกลจากจุดพบรถมาก

 

และสุดท้าย 26 กุมภาพันธ์ ตำรวจได้ไปพบศพของเสี่ยหมาสถูกฝังอยู่ ซึ่ง หลังจากพบศพของเสี่ยหมาสแล้ว จึงได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดและออกหมายจับในที่สุด

 

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ถามถึงรายละเอียดของคดีในหลากหลายประเด็น โดยประเด็นแรกผู้สื่อข่าวได้ถามถึงเรื่องของคนในครอบครัวของนายสมชัย ผู้ต้องหา ที่อาจจะรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับคดีการอุ้มฆ่า เนื่องจากภรรยาของนายสมชัยมีการพูดคุยส่งข้อความทางโทรศัพท์กับเจ๊อ้วนด้วยตามแผนผังของตำรวจ ซึ่งตำรวจจะมีการออกหมายจับคนในครอบครัวของนายสมชัยเพิ่มเติมหรือไม่ พลตำรวจตรีนิพนธ์ตอบ “ตอนนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม แต่การตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบข้อมูลว่าภรรยาของนายสมชัยรู้เห็น แต่หากพบจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป”

 

ประเด็นที่สอง จุดที่เสี่ยหมาสเสียชีวิตนั้นเป็นจุดใดกันแน่ พลตำรวจตรีนิพนธ์ตอบ “ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ตามคำให้การของนายสมชัย ที่อ้างว่า เสี่ยหมาส ได้เสียชีวิตอยู่ภายในโรงจอดรถอยู่ก่อนหน้านี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บพยานหลักฐานทั่วจุดเกิดเหตุไปแล้ว ทั้งในบ้านที่เกิดเหตุ รวมถึงโรงจอดรถ โดยทั้งสองคน คือ นายสมชัย และเจ๊อ้วน ให้การขัดแย้งกัน เรื่องจุดฆ่า ทำให้ตำรวจจำเป็นต้องรอผลตรวจ ทางนิติวิทยาศาสตร์ให้แน่ชัดก่อน คาดว่าน่าจะได้ผลตรวจได้เร็ววันนี้ ซึ่งหลักฐานดังกล่าวจะนำไปใช้ในชั้นศาลในการพิจารณาว่าใครเป็นผู้ลงมือฆ่ากันแน่ ใครพูดจริง ใครโกหก”

 

ประเด็นที่สาม เรื่องคำให้การของเจ๊อ้วนที่อ้างว่าได้มีการสั่งยกเลิกภารกิจกับนายสมชัยไปแล้ว แต่ไม่ทันการ โดยมีการพิมพ์ข้อความทางแชตไปหานางสาวอิง ภรรยานายชัย อาจจะทำให้เจ๊อ้วนพ้นผิดหรือไม่ พลตำรวจตรีนิพนธ์ตอบ “ตำรวจยังไม่เชื่อคำให้การของเจ๊อ้วนว่ามีการสั่งยกเลิกภารกิจ และขอดูหลักฐานการแชตไปแล้ว แต่เจ๊อ้วนไม่มีให้ดู” เช่นเดียวกับคำให้การของนายชัย ที่อ้างว่า เจ้าตัวไม่ได้เป็นคนฆ่า แต่เป็นคนงานพม่าสองคนของเจ๊อ้วน ที่เป็นคนยืนเฝ้าศพอยู่แล้ว ซึ่งตำรวจจะไม่เชื่อคำให้การใดๆ ของผู้ต้องหาทั้ง 2 และจะเชื่อจากการตรวจสอบมีพยานหลักฐานชัดเจนเท่านั้น

 

ประเด็นที่ 4 ความคืบหน้าการติดตามตัว 2 ผู้ต้องหา เป็นอย่างไรบ้าง พลตำรวจตรีนิพนธ์ตอบ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการติดตามผู้ต้องหาทั้ง 2 คนอย่างกระชั้นชิด โดยหนึ่งในนั้นคือนายสุทีป ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปติดตามจับตัว เนื่องจาก ไปค้นบ้าน เจออาวุธปืนผิดมือ จึงแจ้งข้อหา มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตไว้แล้ว และในวันที่ 11 เมษายนที่จะถึงนี้ นายสุทีปจะต้องมาแสดงตัวที่ศาล ซึ่งตำรวจจะรอแจ้งข้อหาใหม่กับนายสุทีปอยู่แล้วไม่ต้องห่วง

 

นอกจากนี้พลตำรวจตรีนิพนธ์ ยังได้ฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนที่ติดตามข่าว หากใครพบเห็น ผู้ต้องหาทั้งสองคนกำลังหลบหนีก็สามารถแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทุกสถานี รวมถึงหากตำรวจพบว่า มีใครคอยช่วยเหลือให้ที่พักพิงกับผู้ต้องหาทั้งสองก็อาจจะมีความผิดได้ ส่วนญาติของผู้ต้องหาหรือตัวผู้ต้องหาที่กำลังหลบหนีอยู่ หากต้องการติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจก็สามารถติดต่อมาได้ทันที ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมแน่นอน แต่หากยังหนี ต่อให้หนีไปยังไงก็ไม่รอด ตนเองยืนยัน จะตำรวจจะติดตามจับตัวมาให้ได้อยู่ดี

 

วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางไปยังบ้านของภรรยานายวีรภัทร หรือ "เหลน" อายุ 45 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีหมายจับคดีอุ้มฆ่าเสี่ยหมาส ในพื้นที่ ต.ทุ่งโพธิ์ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช โดยไม่พบนายวีรภัทรอยู่ที่บ้านพัก และพบรถเก๋งสีบรอนซ์เงินจอดหน้าบ้าน

 

เมื่อสอบถามนางสาวนุ้ย (นามสมมติ) ภรรยาของเหลน บอกว่า สามีไม่หายเงียบไปประมาณ 1 สัปดาห์แล้ว ตั้งแต่ข่าวออกว่าสามีถูกออกหมายจับ ก็หายตัวออกจากบ้านโดยไม่ได้บอกตน /ตนจึงเป็นห่วงสามีมากในตอนนี้ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า และยังมีชีวิตอยู่ไหม อยากให้ติดต่อกลับมา และมามอบตัว ส่วนทางตำรวจไม่ได้เข้ามาที่บ้านพักเพื่อสอบถามตนเรื่องสามี และไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องคดี

 

ทั้งนี้ทีมข่าวถามย้ำต่อว่า“เหลน”ได้หายตัวออกจากบ้านพักตั้งแต่เมื่อไหร่ เนื่องจากเมื่อวานทางภรรยาได้บอกหายตัวไปตั้งแต่วันอาทิตย์ แต่วันนี้ให้สัมภาษณ์อีกรอบระบุหายตัวไป 1 สัปดาห์แล้ว ซึ่งนางสาวนุ้ยก็ตอบเพียงว่า วันและเวลาจำไม่ได้ จำได้เพียงสามีหายตัวไปหลังตนออกไปทำงานช่วงเช้าเท่านั้น

 

ขณะที่ประเด็นกล้องวงจรปิด ที่นางสาวนุ้ยลง TikTok ว่าวันที่ 11 มีนาคม สามีอยู่ในบ้านพัก เราจึงพยายามขอดูกล้องวงจรปิด เพื่อตรวจสอบวันที่”เหลน” ออกจากบ้านพัก แต่เจ้าตัวปฏิเสธให้ดูอ้างว่าเสียนานแล้ว

 

ทั้งนี้ใน TikTok ส่วนตัวของภรรยานายเหลน มีการโพสต์คลิปวงจรปิด กล้องตัวที่ 1 เป็นกล้องหน้าบ้านพักภรรยา ช่วง 08.25 น. วันที่ 25 กุมภาพันธ์ จะเห็นผู้ชายรายหนึ่งกำลังขับรถเก๋งออกจากบ้านพัก ซึ่งรถเก๋งคันนี้เป็นรถของภรรยานายเหลน และคาดว่าคนขับก็คือนายเหลน หลังเสี่ยหมาสหายตัวออกจากพื้นที่ชุมพรช่วง 1 กุมภาพันธ์

 

กล้องวงจรปิดตัวที่ 2 เป็นกล้องวงจรปิดในบ้านพัก ช่วง 12.21 น. ของวันที่ 11 มีนาคม นายเหลนนั่งกินข้าวในบ้านพัก ใช้ชีวิตปกติ ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกออกหมายจับพัวพันคดีอุ้มฆ่าเสี่ยหมาส

 

ต่อมาทีมข่าวเดินทางมาที่จ.สุราษฎร์ธานี หลังได้รับข้อมูลจากตำรวจว่า ได้ออกหมายจับและดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 7 คน ฐานร่วมกันลักทรัพย์ หรือรับของโจร มีผู้ต้องหา / หนึ่งในนั้นมีนายสามารถ กลุ่มผู้รับซื้อรถ ซึ่งมีการรับสารภาพว่าตนเองติดต่อรับซื้อขายรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ ของเสี่ยหมาส ซึ่งต่อมาได้นำรถยนต์ไปขายต่อ และได้พบว่ารถยนต์ได้ถูกนำไปใช้ในพื้นที่จังหวัดสกลนครแล้ว

 

ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านพักของนายสามารถ ต.วัดประดู่ อ.เมืองสุราษฏร์ธานี เป็นทาวน์เฮาส์สองชั้นบริเวณด้านหน้าบ้านพักมีการต่อเติมตัวบ้าน โดยประตูรั้วบ้านล็อก และในบ้านพักปิดสนิทไม่มีใครอยู่ แต่พบมีเสื้อผ้าบางส่วนกองอยู่บริเวณหน้าบ้านพัก และมีเสื้อผ้าบางส่วนตากอยู่หน้าบ้าน

 

สอบถามนางสาวพลอย (นามสมมติ) อายุ 27 ปี เป็นเพื่อนบ้านบอกว่า ตนตกใจมากที่ทราบว่านายสามารถถูกจับในคดีรับซื้อของโจรซึ่งเป็นรถของเสี่ยหมาส โดยในสามารถเป็นเจ้าของบ้านพักทาวน์เฮาส์สองชั้นที่ทีมข่าวไปสำรวจและพบว่าไม่มีใครอยู่ นายสามารถซื้อบ้านพักหลังนี้ได้ประมาณ 6-7 ปีแล้ว ตอนแรกก็ซื้ออยู่กับภรรยาและลูก แต่เจ้าตัวไม่ได้มาอยู่บ้านพักหลังนี้ตลอดจะเป็นในลักษณะไปๆมาๆ ตนไม่ได้สนิทกับครอบครัวนี้ก็เลยไม่รู้เช่นกันว่าทั้งสองทำธุรกิจอะไร

 

จนกระทั่งนายสามารถหย่าขาดกับภรรยาแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น และบ้านพักหลังนี้ก็ถูกยึดทรัพย์ได้ประมาณ 3 ปีแล้ว ซึ่งภรรยาเก่าของนายสามารถก็มาพักอาศัยบ้างเป็นบางครั้งแต่ในลักษณะไป ๆ มา ๆ ล่าสุดต้นเห็นภรรยานายสามารถกลับมาที่บ้านพักหลังนี้เพื่อที่จะขนของออกจากบ้านหลังทุกยึดเมื่อประมาณ 2 วันก่อน

 

ท่าทีของภรรยานายสามารถปกติและไม่มีท่าทีกังวลหรือเครียด เจอกันวันก่อนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ส่วนนายสามารถเท่าที่รู้จักก็เป็นคนนิสัยดีและอัธยาศัยดี

เปิดขบวนการอุ้มฆ่า "เสี่ยหมาส" โยง 2 แก๊ง ผู้ก่อเหตุนับสิบคน