จากกรณี นายขนบ สมหวัง หรือ เสี่ยหมาด อายุ 56 ปี เจ้าของสนามไก่ชนชื่อดัง ใน อ.สวี จ.ชุมพร ได้หายตัวไปอย่างปริศนาจากบ้านพัก ในพื้นที่ หมู่ 5 ตำบลเขาค่าย อ.สวี จ.ชุมพร ช่วงคืนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 67 พร้อมรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีขาว กระทั่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ไปพบศพของเสี่ยหมาดแล้ว ซึ่งถูกฝังอยู่ในพื้นที่ป่า เขต อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช จนล่าสุดตำรวจได้ออกหมายจับกลุ่มคนร้ายได้ทั้งหมดแล้ว มีจำนวน 5 คน

 

คืบหน้าล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางไปที่โรงพักนาสัก หลังจากเมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) ตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 และตำรวจกองปราบปราม ได้ควบคุมตัวนายสมชัย และ นายพฤหัส สองผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่าเสี่ยหมาส เข้ามาที่โรงพักนาสัก หลังทั้ง 2 คนได้ขอเข้ามอบตัวตามหมายจับ และเจ้าหน้าที่ได้คุมขังทั้งสองคนไว้ในห้องขังของโรงพักตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว

 

กระทั่ง 8 โมงเช้าวันนี้ ตำรวจได้เบิกตัวทั้งสองคนจากห้องขังออกมาเค้นสอบปากคำถึงเรื่องที่เกิดเหตุ โดยให้แยกกันสอบปากคำกันอยู่คนละห้อง

 

และในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายสมชัย หรือ นายชัย เข้าห้องสอบปากคำ ทีมข่าวพยายามสอบถามนายชัยอีกครั้งว่าสรุปแล้ว นายชัยได้รับเงินค่าจ้างจากเจ๊อ้วนบ้างหรือไม่ โดยวันนี้นายชัยได้พลิกลิ้นและบอกว่า ตนเองได้รับเงิน 1 แสนบาทจากเจ๊อ้วนจริง ทั้งที่เมื่อวานได้อ้างว่า ไม่เคยได้รับเงินสักบาทจากเจ๊อ้วน

 

ส่วนตัวเสี่ยหมาสตนเองรู้จักหรือไม่ นายชัยตอบ รู้จัก และสนิทกันพอใช้ได้ แต่ยืนยันว่าตนเองไม่เกี่ยวข้องกับการตายของเสี่ยหมาส โดยระหว่างตอบคำถามนักข่าวนายชัยมีท่าทียิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่มีอาการเครียด วิตกกังวลแม้แต่น้อย

 

จากนั้นตำรวจใช้เวลาสอบปากคำนายชัยนานกว่า 1 ชั่วโมง โดยนายชัยตลอดการสอบปากคำ จะเห็นว่าเจ้าตัวได้ใส่หมวก สวมแว่นตาดำปิดบังใบหน้าตลอดเวลา นอกจากนี้นายชัยยังร้องขอเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอโทรศัพท์หาญาติ มีการพูดคุยกันประมาณ 5 นาที โดยนายชัย ส่วนการสอบปากคำนายชัยได้ตอบคำถามตำรวจอย่างเชี่ยวชาญและไม่มีท่าทีเครียดอะไร

 

จากนั้นเมื่อมีการสอบปากคำเสร็จตำรวจได้นำตัวนายชัยเข้าห้องขังอีกครั้ง ทีมข่าวพยายามสอบถามนายชัย ว่าสรุปแล้วได้รับค่าจ้างจากเจ๊อ้วนหรือไม่ เจ้าตัวยอมเปิดปากยอมรับอีกครั้งว่า “พี่ได้รับเงินจำนวน 100,000 บาทจากเจ๊อ้วนจริง เป็นค่าจ้างจากเจ๊อ้วนให้ตนเองนำศพเสี่ยไปทิ้งเท่านั้น ส่วนอีก 50,000 บาท เจ๊อ้วนให้เป็นค่าเล่นพนันวัวชน ไม่ใช่ค่าจ้าง ยืนยันตนเองไม่ใช่คนฆ่านายชัย แต่เสี่ยหมาสตายอยู่แล้ว เสี่ยตายอยู่ในโรงเก็บรถบ้านเจ๊อ้วนนั้นแหละ”

 

ส่วนบุคคลที่ลงมือฆ่าตนเองไม่รู้ เมื่อไปถึงก็เห็นลูกน้องซึ่งเป็นพม่า 2 คนของเจ๊อ้วนยืนเฝ้าศพของเสี่ยอยู่แล้ว ตนเองให้การตามความเป็นจริงทุกอย่างอยู่แล้ว

 

นักข่าวได้ถามนายชัยต่อว่า นายพฤหัสเกี่ยวข้องหรือไม่ และเมื่อวานนายชัยตะโกนข้ามห้องขังเตี๊ยมอะไรกัน นายชัยตอบ ไม่ได้เตี๊ยมอะไร และนายพฤหัสรุ่นน้องของตนเองก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย ไม่ได้นัดเจอกันด้วย อย่าเอามันมาเกี่ยวข้องในคดี นายชัยพูด

 

นอกจากนี้นักข่าวยังถามต่อด้วยว่า ตอนอยู่ในห้องสอบ พี่โทรศัพท์หาใคร เจ้าตัวตอบ โทรหาแฟนให้สั่งข้าวมาให้ตนเองและพฤหัสเท่านั้น และตอนนี้ถูกจับ ก็คิดถึงลูกกับเมียมากเป็นธรรมดา แต่ตนเองชินแล้ว จากนั้นนายชัยได้ถูกคุมตัวเข้าห้องขังไป

 

และกระทั่งเวลา 13.00 น. ตำรวจได้นำตัวนายชัยและนายพฤหัส ฝากขังต่อศาลจังหวัดหลับสวน นักข่าวพยายามสอบถามนายชัยเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างนำตัวขึ้นรถ โดยนักข่าวพยายามสอบถามว่า ในคืนวันเกิดเหตุเจ้าตัวได้เดินทางไปเก็บศพคนเดียว นายชัยอ้างว่า “ขอให้นักข่าวไปถามตำรวจเอาเอง ได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้ว”

 

นักข่าวถามต่อ กลัวไหมจะต้องไปอยู่ในคุก ไม่ได้รับการประกันตัว นายชัยตอบ “โอ๊ย พี่ไม่กลัวหรอกคุก พี่อยู่มาแล้ว ไม่กลัวๆ ส่วนหลักทรัพย์ประกันตัว ก็ไม่เตรียมด้วย“

 

นักข่าวถามอีก คืนวันเสี่ยหาย นายชัยโทรศัพท์คุยอะไรกับเจ๊อ้วนถึง 15 สาย คุยกันเรื่องอะไร ? นายชัยอ้าง “อ่อๆ ตอนนี้พี่เพิ่งกลับจากกรุงเทพไปทำธุระมา ก็คุยกันถามสารทุกข์สุขดิบกันปกติ“ (ซึ่งขัดแย้งกับเจ๊อ้วนที่เคยบอกว่า ปกตินายชัยจะไม่ค่อยกับเจ๊อ้วน)

 

นักข่าวถามอีก คดีนี้มีอัตราโทษสูงเป็นห่วงลูกเมียไหม? เพราะลูกนายชัยก็เพิ่งคลอดไม่กี่เดือน และจะประกันตัวไหม เจ้าตัวตอบ “คุกพี่ติดมาแล้ว และยังไม่แน่จะประกันตัวไหม”

 

นักข่าวถามคำถามสุดท้าย พี่เป็นเพื่อนเสี่ยหมาส เป็นเพื่อนกันทำไมพี่ทำกับเพื่อนตัวเองได้ ทำไมถึงรับงานจากเจ๊อ้วน นายชัยตอบ “โอ๊ย พี่ไม่ได้รับงาน ตัง 1 แสน เจ๊แกให้เงินให้พี่ไปเก็บศพและให้เงินไปเติมน้ำมันรถไปกรุงเทพเท่านั้น” ส่วนเหตุผลที่รับงาน นายชัยตอบ “แค่ไปเก็บศพ จะไปกลัวอะไร” จากนั้นนายชัยได้นั่งรถออกจากโรงพักไปฝากขังยังศาลจังหวัดหลังสวนทันที

 

ส่วนการสอบปากคำนายพฤหัส ผู้ต้องหาอีกคนแตกต่างกับนายชัยอย่างเห็นได้ชัด โดยจะเห็นว่า นายพฤหัสมีท่าทีเคร่งเครียดและดูเหนื่อยล้า โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายพฤหัสมาสอบปากคำ ตั้งแต่ 7 โมงเช้า - 10.00 น. ใช้เวลา 3 ชั่วโมง

 

ภายหลังจากนั้น ตำรวจได้ทำบันทึกจับกุม และพาตัวนายพฤหัสเข้าห้องขัง โดยระหว่างเข้าห้องขัง ทีมข่าวพยายามสอบถามนายพฤหัส ว่า ได้รับเงินจากนายชัยหรือไม่ เจ้าตัวตอบปฏิเสธ ไม่เคยรับเงินจากใคร และปฏิเสธว่า ตนเองไม่ได้เป็นคนขับรถเก๋ง ซีวิคสีบรอนซ์ไปทิ้งน้ำ หรือ นำรถฟอร์จูนเนอร์ไปจำนำแต่อย่างใด

 

นอกจากนี้ตำรวจเมื่อเห็นว่าตั้งแต่เช้าพฤหัสยังไม่ได้กินข้าว เนื่องจากไม่มีใครมาเยี่ยม จึงให้แม่บ้านนำกับข้าวไปให้กิน เป็นผัดบวบ กับ แกงปลาซิว แต่นายพฤหัส คาดว่า เครียดจัด จึงปฏิเสธ ไม่กินข้าว โดยบอกกับแม่บ้านว่า ผมกินไม่ลง กินน้ำไปแล้ว แม่บ้านต้องถือเอาจานข้าวกลับ

 

กระทั่งเวลาเกือบ 13.00 น. ก่อนที่ตำรวจจะนำตัวนายพฤหัสไปฝากขังพร้อมนายชัยลูกพี่ นายพฤหัสได้ถูกคุมตัวออกมาจากห้องขังเพื่อเซ็นยอมรับสำนวนการสอบปากคำ แต่ปรากฏว่า กว่านายพฤหัสจะเซ็นสำนวนการสอบปากคำแต่ละหน้าเสร็จ นายพฤหัสได้อ่านสำเนาของตำรวจอย่างละเอียด และคำไหนนายพฤหัสไม่เข้าใจจะถามตำรวจ และให้ตำรวจแก้คำในสำนวนทันมี ทำให้ตำรวจเสียเวลากว่า 30 นาที กว่านายพฤหัสจะยอมเซ็นสำนวนครบทุกหน้า ตำรวจต้องอธิบาย ทำความเข้าใจกันอยู่นาน จากนั้นนายพฤหัสถึงยอมให้ตำรวจพาไปฝากขัง

 

ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านของนายพฤหัส เพื่อไปสอบถามเหตุการณ์ที่นายพฤหัสเข้ามอบตัวเมื่อวานนี้ โดยเราไม่พบกับแม่ยายและภรรยาของนายพฤหัส เนื่องจากทั้งสองเดินทางไปเยี่ยมนายพฤหัส ที่จ.ชุมพร พบเพียงนางจริยา (นามสมมติ) ป้าของนายพฤหัสบอกว่า แม่ยายและภรรยาของนายพฤหัสออกจากบ้านตั้งแต่เช้าและมีการซื้อของเพื่อไปเยี่ยมนายพฤหัส

 

ขณะที่พ่อของนายพฤหัสไม่ได้กลับมาในพื้นที่แต่นอนในจ.ชุมพร และได้เตรียมเงินประกันตัวนายพฤหัสซึ่งตำรวจจะคุมตัวฝากขังที่ศาลจังหวัดหลังสวน ยังยืนยันพฤหัสไม่มีส่วนร่วมขบวนการดังกล่าว แล้วขณะฝากขังนายพฤหัสที่มีการพูดคุยลักษณะจะโกนผ่านห้องขังกับนายชัย ประเด็นนี้ตนยังไม่ได้มีโอกาสถาม พ่อ แม่ยาย และภรรยานายพฤหัส

 

ส่วนนายสุทีปทั้งครอบครัวไม่สามารถติดต่อได้ในตอนนี้และไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ปกติแล้วนายสุทีปเคยออกจากบ้านพักไปทำงานติดต่อกันหลายวัน นานสุดก็ประมาณ 1-2 เดือนกว่าจะติดต่อได้ แต่กรณีนี้ก็ไม่ทราบสาเหตุที่ติดต่อไม่ได้ ทางครอบครัวก็กลัวเรื่องความปลอดภัยของนายสุทีปแต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวอยู่ที่ไหนตอนนี้

 

และรถฟอร์จูนเนอร์คันสีขาวที่ตำรวจยึดยืนยันเป็นของนายสุทีป ซึ่งนายสุทีปยังผ่อนรถไม่หมดเหลืออยู่ประมาณ 4-5 แสนบาท ก็ทำให้บริษัทที่ผ่อนรถตามมาทวงหนี้และตามหารถคันนี้อยู่

 

ถัดมาทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายโจ คนงานคนสนิทของเสี่ยหมาส โดยนายโจ ได้เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า หลังจากที่ได้เห็นคลิปและคำพูดต่างๆของนายชัย ที่พยายามซัดทอดความผิดมาให้ตน โดยบอกว่าแรงงานพม่า 2 คนเป็นคนฆ่าเสี่ยหมาส ส่วนตนเองพร้อมพวกเป็นคนพาศพไปอำพรางเท่านั้น ตนก็ไม่ได้รู้สึกตกใจหรือกลัวอะไรเพราะคำพูดต่างๆของนายชัย เป็นคำพูดของคนที่กำลังกลัวความผิด และพยายามโยนความผิดให้คนอื่นๆ

 

เพราะสุดท้ายไม่ว่านักข่าวคนไหนจะมาถามตนสักกี่รอบ ตนก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ได้เป็นคนฆ่าเสี่ยหมาส รวมไปถึงที่นายชัยพยายามจะบอกว่ามีแรงงานพม่า 2 คน เป็นคนฆ่าเสี่ยหมาส พูดแค่นี้ก็ไม่เป็นความจริงแล้ว เนื่องจากแรงงานพม่าที่เป็นลูกน้องของเสี่ยหมาส มีแค่คนเดียวนั้นคือตน หากจะให้ไปหาแรงงานพม่าอีกคน หาให้ตายยังไงก็ไม่เจอเพราะมันไม่มีตั้งแต่แรก อีกทั้งในวันเกิดเหตุตนก็ยังยืนคำเดิมว่าตนเองไปตีงู แล้วกลับออกประมาณ 1 ทุ่มเท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้ตนก็ยังเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง เพราะเกรงว่าจะมีใครสักคนที่ไม่ส่งคนมาเก็บตนหรือไม่ ส่วนวันนี้ตนได้นำไก่สุดรักของเสี่ยหมาส ไปตีแล้วชนะด้วย ซึ่งเหตุผลที่เอาไก่เสี่ยหมาส ไปตีในวันนี่ก็เพื่ออุทิศให้เสี่ยหมาส หัวหน้าตนเองที่จากไปนั้นเอง

 

จำลองเหตุการณ์ “ไอ้ชัย” โต้ไม่ใช่มือฆ่า มีหน้าที่แค่มาเก็บศพ รับเงินแสน โบ้ย คนงานพม่า 2 คนยืนเฝ้าศพในโรงรถ อ้างตำรวจ เดินทางมากับ สุทีป และวีรภัทร

 

ล่าสุดเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมาทีมข่าวช่อง 8 ได้ขออนุญาตลุงสำราญ พี่ชายของเสี่ยหมาส เพื่อเข้าไปสำรวจโรงจอดรถ และบริเวณบ้านของเสี่ยหมาสและเจ๊อ้วนอีกครั้ง หลังจากวันนี้นายชัย ผู้ต้องหา ได้อ้างว่า คืนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เจ๊อ้วนได้โทรศัพท์มาหาตนเอง เพื่อให้ตนเองมาช่วยเก็บศพของเสี่ย

 

ซึ่งจากข้อมูลที่ทีมข่าวได้มาจากแหล่งข่าวทางลับ นายชัยได้อ้างกับตำรวจว่า ในคืนวันเกิดเหตุ เจ๊อ้วนได้โทรศัพท์ให้นายชัย เดินทางมาช่วยเก็บศพเสี่ยให้หน่อยที่บ้าน จากนั้น นายชัยจึงรวบรวมพรรคพวกและได้เดินทางนั่งรถเก๋งซีวิคสีบรอนซ์ คันที่นำไปทิ้งบ่อน้ำ ไปกับพวกอีก 2 คน ประกอบด้วย นายสุทีป และนายวีรภัทร ลูกน้องซึ่งเป็นคนขับรถ

 

จากนั้น นายชัยได้บอกให้นายวีรภัทร จอดรถบนถนนดำด้านหน้าปากซอยทางเข้าออกด้านหลังบ้านที่เกิดเหตุ

 

จากนั้นนายชัย และนายสุทีป ได้ลงจากรถและเดินเท้าเข้าทางซอยหลังบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเส้นทางมืดและเปลี่ยวเต็มไปด้วยสวนยางพาราและสวนทุเรียน โดยให้นายวีรภัทร จอดรถคอยดูต้นทางอยู่ด้านหน้า

 

จากนั้นนายชัย ได้อ้างต่อว่า ตนเองได้เดินไปเคาะหน้าต่างบ้านเจ๊อ้วน ให้รู้ว่ามาถึงแล้ว ก่อนที่เจ๊อ้วน จะบอกให้ไปเก็บศพเสี่ย ซึ่งอยู่ในโรงจอดรถแล้ว

 

โดยนายชัยอ้างต่อว่า ได้เดินไปพร้อมกับนายสุทีปเข้าไปในโรงจอดรถ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เจ๊อ้วนอยู่ประมาณ 15-20 เมตร และได้เห็น คนงานพม่า จำนวน 2 คน ยืนเฝ้าศพเสี่ยในโรงจอดรถอยู่แล้ว โดยศพอยู่ไม่ไกลจากรถเฟอร์จูนเนอร์สีขาวของเสี่ยที่จอดอยู่ในโรงจอดรถมากนัก

 

จากนั้น นายชัย อ้างว่า ตนเองและนายสุทีปได้ช่วยกันยกศพของเสี่ย ขึ้นเบาะหลังรถฟอร์จูนเนอร์ของเสี่ย จากนั้น นายสุทีปและนายชัยได้ขับรถเสี่ยออกไปทางหน้าบ้าน โดยนายสุทีปเป็นคนขับ ส่วนนายชัยนั่งข้างคนขับ

 

โดยระหว่างขนศพ นายชัยยังอ้างว่า คนงานพม่า 2 คน ได้จัดการฆ่าเสี่ยหมาสก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึง และคนงานพม่า ยืนเฝ้าศพ และไม่ได้ช่วยยก

 

จากนั้น นายชัยได้นำศพของเสี่ยหมาส ซึ่งอยู่บนรถเฟอร์จูนเนอร์ขับมุ่งหน้า จ.นครศรีธรรมราช โดยผ่านพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานีที่เป็นทางผ่าน โดยมีการนำศพเสี่ย ย้ายจะรถเฟอร์จูนเนอร์ ย้ายไปยังรถซีวิคสีบรอนซ์ที่นายวีรภัทรขับ

 

ล่าสุดช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 09.00 น.ที่ผ่านมา บรรยากาศงานศพของเสี่ยหมาส ก็มีบรรดาญาติๆและชาวบ้านต่างทยอยเดินทางมาจุดธูปบอกกล่าวเสี่ยหมาส ผู้ล่วงลับกันอย่างไม่ขาดสาย โดยทางญาติๆเองก็ได้มีนำของอาหารคาวหวาน อาทิแกงเหลือง / แตงกวา / ข้าวเหนียวสังขยา / ปลาทู 1 ตัว / ปาท่องโก๋ / กาแฟ / คุกกี้ / น้ำดื่ม และบุหรี่อีก 1 มวน จากนั้นก็เคาะโลงเสียงดังสนั่น เพื่อบอกกับเสี่ยหมาสว่าได้นำอาหารคาวหวานมาให้แล้ว

 

หลังจากนั้นเวลา 13.00 น. ทางญาติๆของเสี่ยหมาส ได้เดินทางมาทำพิธีเชิญวิญญาณที่บ้านเจ๊อ้วน โดยมีลุงสำราญ และป้าอรวรรณ พี่ชายและพี่สาวของเสี่ยหมาส เป็นผู้นำในการทำพิธีนี้ และได้พระครูชลธี ธรรมมากร เจ้าอาวาสวัดชลทีพฤกษา อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร มาเป็นผู้ประกอบพิธีเพียงรูปเดียวเท่านั้น สำหรับการทำพิธีเชิญวิญญาณของเสี่ยหมาสนั้น เป็นพิธีที่ใหญ่กว่าเชิญวิญญาณทั่วไป เพราะมีการตั้งโต๊ะขนาดใหญ่ มีเครื่องเซ่นไว้ต่างๆอาทิของกับข้าว 5 อย่าง ได้แก่ ผัดพริกไก่ / แกงเหลือง / ต้มผักกาดดอง / แกงคั่วหมู และแกงไก่ มีขนมหวาน 2 อย่าง ได้แก่ ขนมโค และ ลูกตาลในน้ำเชื่อม มีอาหารแห้งเป็นถั่ว 5 ชนิดได้แก่ ถั่วเหลือง / ถั่วเขียว / ถั่วดำ / ถั่วแดง และถั่วลิสง อีกทั้งยังมีผลไม้ได้แก่ แอปเปิ้ล 3 ลูก / ส้ม 3 ลูก และแก้วมังกร 1 ลูก ส่วนของเซ่นไหว้อื่นๆก็จะเป็นเหล้าข้าว 1 ขวด พร้อมกับดอกไม้ธูปเทียนและหมากพลูทั่วไป แต่ที่สำคัญคือการเตรียมปั้นดินน้ำมันให้เป็นตัวคน และดินน้ำมันดังกล่าวข้อได้มีการเขียนชื่อของเสี่ยหมาส นั้นคือนายขนบ สมหวัง แล้วมีการไปวางในจานที่มีดอกดาวเรืองโปรยเอาไว้ พร้อมกับเอาธูป 1 ดอกที่จุดแล้วปักเอาไว้ที่ตัวหุ่นดังกล่าว

 

หลังจากนั้นจะเป็นการเริ่มพิธีโดยพระครูชลธี ธรรมมากร เจ้าอาวาสวัดชลทีพฤกษา จะเริ่มสวดนะโม 3 จบ ตามด้วยบทเชิญเทพยดาสิ่งศักดิ์ศิทธิ์ทั้งหลาย และบทต่างๆที่เกี่ยวกับเชิญดวงวิญญาณ ก่อนจะเป็นการเอาไม้ตะพดส่วนตัว ที่พระครูชลธี ธรรมมากร บอกกับทีมข่าวช่อง 8 ว่าเป็นไม้เท้ากายสิทธิ์ประจำกาย จิ้มไปยังตัวหุ่นดินน้ำมัน ที่เป็นตัวแทนเสี่ยหมาส ให้มาสิงสถิตยังหุ่นดินน้ำมันตัวนี้ และเดินทางกลับวัดพระยืน สิ่งเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลศพด้วยกัน ก่อนจะเป็นอันเสร็จพิธีตรงจุดนี้ โดยใช้เวลากว่า 40 นาทีด้วยกัน

 

และเมื่อเสร็จพิธีเชิญดวงวิญญาณแล้ว พระครูชลธี ธรรมมากร ก็ได้เดินทางมาที่งานศพของเสี่ยหมาส พร้อมกับลุงสำราญ พี่ชายของเสี่ยหมาส โดยได้นำหุ่นดินน้ำมัน ตัวแทนเสี่ยหมาส ไปวางไว้ที่บนฝาโลงของเสี่ยหมาส ก่อนที่พระครูชลธี ธรรมมากร จะมีการสวดอีกครั้ง และให้ลุงสำราญ พี่ชายของเสี่ยหมาส เคาะโลง 3 ที เพื่อเป็นการบอกกล่าวเสี่ยหมาส เป็นอันเสร็จพิธี

"ไอ้ชัย" ยิ้มร่าพลิกลิ้นรับเงิน 1 แสนค่าขนศพ "เสี่ยหมาส" แฉ "เจ๊อ้วน"