กสม.ไม่เห็นด้วยกับการจำกัดเสรีภาพในการ “Call out”  ของประชาชน รัฐควรรับฟังความเห็นที่แตกต่างเพื่อนำไปแก้ปัญหา ไม่ใช้กลไกทางกฎหมายเล่นงาน

 

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผย ติดตามสถานการณ์การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง และมีความห่วงกังวลต่อการใช้กลไกทางกฎหมายมาปิดกั้นเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น หลังมีนักแสดง นักร้อง และบุคคลสาธารณะออกมาแสดงความเห็นและข้อเรียกร้องผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จนเป็นเหตุนำมาซึ่งการร้องทุกข์และการแจ้งความดำเนินคดี  ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองไว้ในมาตรา 34 ของรัฐธรรมนูญ 2560 และข้อ 19 ของกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

แม้การใช้สิทธิเสรีภาพแห่งการแสดงออกอาจมีข้อจำกัด เพื่อการคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อความมั่นคงของรัฐ และการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน แต่ข้อจำกัดดังกล่าวต้องทำเท่าที่จำเป็น โดย กสม.เห็นว่าการแสดงความคิดเห็นของบุคคลสาธารณะและประชาชนทั่วไปต่อการบริหารจัดการของรัฐ เพื่อควบคุมและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ประชาชนรวมทั้งทุกภาคส่วนในสังคมกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก  และต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร พร้อมให้ข้อเสนอแนะต่อฝ่ายบริหาร เป็นการใช้เสรีภาพโดยสุจริต แม้อาจมีถ้อยคำที่สื่อสารด้วยอารมณ์ความรู้สึกตามยุคสมัย แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด 

นอกจากนี้ เสรีภาพในการแสดงออกถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับสังคมประชาธิปไตย และจำเป็นต่อการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ  รัฐบาลจึงพึงรับฟังความคิดเห็น  รวมทั้งคำวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนและนำมาเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการบริหารจัดการปัญหาต่าง ๆให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น

กสม.ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ด้วยการไม่ใช้ถ้อยคำหรือข้อความที่สร้างความเกลียดชัง โดยตรวจสอบข้อมูลที่อาจเป็นเท็จก่อนเผยแพร่ และขอให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลรับฟังความเห็นที่แตกต่าง รวมทั้งคำวิพากษ์วิจารณ์ และงดเว้นการใช้กลไกทางกฎหมายที่มีผลเป็นการปิดกั้นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกโดยสุจริต