ยายร่ำไห้รับศพหลาน "เอสโซ่" พลทหารวสันต์ ขานหัวโทน ปฏิบัติหน้าที่ที่ศรีสะเกษ เผยใกล้ปลดประจำการแต่ต้องจากไปก่อน ภูมิใจหลานสละชีพเพื่อชาติ
วันที่ 18 ธ.ค. 2568 จากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งยังคงมีการปะทะอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีรายงานการสูญเสียกำลังพลเพิ่มขึ้น โดยยอดทหารที่พลีชีพจากการปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้าเพิ่มเป็น 21 นาย หนึ่งในผู้เสียชีวิตคือ พลทหารวสันต์ ขานหัวโทน ชื่อเล่น “เอสโซ่” สังกัดค่ายเจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ กรมทหารราบที่ 13 พัน 3 (ร.13 พัน 3) ลูกหลานชาวจังหวัดอุดรธานี มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเทื่อม ตำบลเขือน้ำ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี

รายงานระบุว่า พลทหารวสันต์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสะเก็ดระเบิดและกระสุนปืนเข้าบริเวณด้านหลัง ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่แนวหน้า อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนจะเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ท่ามกลางความโศกเศร้าของครอบครัวและเพื่อนทหารร่วมรบ
ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านพักของพลทหารวสันต์ โดยมีคุณยายและป้าอาศัยอยู่ พบว่า บรรยากาศเต็มไปด้วยความอาลัย ทั้งนี้มีกำลังพลจากค่ายเจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ ร.13 พัน 3 เดินทางมาช่วยกันทำความสะอาดพื้นที่ ตัดหญ้า และเก็บกวาดบริเวณบ้าน เพื่อเตรียมสถานที่รองรับการเคลื่อนย้ายร่างของพลทหารวสันต์กลับภูมิลำเนา ขณะเดียวกันชาวบ้านในพื้นที่ต่างมาร่วมแรงร่วมใจกันตระเตรียมอาหาร เพื่อรองรับญาติพี่น้องและผู้ที่จะเดินทางมาร่วมแสดงความอาลัย นอกจากนี้ชาวบ้านยังเตรียมเมนูอาหารที่ชาวบ้านช่วยกันจัดเตรียมในวันนี้ ประกอบด้วย ตำส้ม ข้าวเสหนียว ไก่ทอด และปลาทอด
นางบุญปัน วิชัยวงศ์ อายุ 64 ปี คุณยายของพลทหารวสันต์ ขานหัวโทน หรือ “เอสโซ่” เปิดใจทั้งน้ำตาว่า หลานชายเข้ารับราชการทหารมาได้กว่าหนึ่งปี โดยเป็นการสมัครใจเข้ารับใช้ชาติ และเดิมมีกำหนดจะปลดประจำการในเร็ว ๆ นี้ ก่อนเกิดเหตุสูญเสียอย่างไม่คาดคิด
นางบุญปัน เล่าว่า เมื่อวานนี้เวลาประมาณ 17.00 น. ลูกสาวโทรศัพท์มาแจ้งข่าวการเสียชีวิตของเอสโซ่ ทำให้ตนถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งร้องไห้ เพราะยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียหลานชายที่รักมาก แม้จะรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด แต่ลึก ๆ ก็รู้สึกภูมิใจที่หลานได้เสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ โดยขณะเล่าเรื่อง นางบุญปันต้องปาดน้ำตาไปตลอดเวลา

นางบุญปัน กล่าวอีกว่า เอสโซ่เป็นหลานที่เป็นคนดีในสายตาของตน พ่อและแม่ของหลานแยกทางกันตั้งแต่เอสโซ่อายุเพียง 9 เดือน หลังจากนั้นตนเป็นผู้เลี้ยงดูหลานมาตลอด ส่วนแม่ของเอสโซ่ออกไปรับจ้างทำงาน หาเงินมาดูแลครอบครัว ทั้งตนและลูกชาย โดยยายไม่ใช่เพียงแค่ยาย แต่ทำหน้าที่เป็นแม่ให้กับหลานด้วย
เมื่อเอสโซ่เริ่มทำงานและมีรายได้ ก็จะนำเงินมาให้ยายอยู่เสมอ และเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งไว้สร้างบ้าน ซึ่งขณะนี้บ้านยังสร้างได้เพียงโครงและยังไม่แล้วเสร็จ นางบุญปันยอมรับว่า ก่อนหลานจะกลับมาพักครั้งล่าสุด ตนไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกันมากนัก เนื่องจากไม่ได้อยู่บ้านในช่วงนั้น “ถ้าดวงวิญญาณของเอสโซ่รับรู้ ขอให้หลานไปดีมีสุข ชาติหน้าถ้ามีจริงก็ขอให้ได้กลับมาเป็นลูกเป็นหลานของยายอีก” นางบุญปัน กล่าวทั้งน้ำตา
สำหรับกำหนดการรับร่างพลทหารวสันต์ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะเคลื่อนย้ายมาถึงภูมิลำเนาในช่วงเย็นของวันที่ 19 ธันวาคม 2568 และจะมีการประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดในพื้นที่ต่อไป
นางบุญปัน ยังเล่าถึงหลานชายว่า ขณะยังมีชีวิตอยู่ตอนยังไม่รับราชการทหาร เอสโซ่ก็เป็นคนขยันทำงาน และเป็นคนเรียบง่าย ชอบรับประทานอาหารพื้นบ้าน โดยเฉพาะอาหารป่าและปลาร้า พร้อมกันนี้นางบุญปันได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหลานจะเสียชีวิตประมาณ 2 วัน ขณะออกไปหาเก็บหน่อไม้ ได้ยินเสียงคล้ายมีคนเดินอยู่ด้านหน้า และวันถัดมาไปหาหน่อไม้ อีกก็เห็นมีฝูงอีกาบินวนอยู่เต็มท้องฟ้า บริเวณแถวบ้านทองอิน ตำบลโนนสูง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งในขณะนั้นตนไม่ได้คิดว่าเป็นลางสังหรณ์ และไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ก่อนหน้า “ได้ยินข่าวการสูญเสียจากที่อื่นก็ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะเกิดขึ้นกับหลานตัวเอง ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำใจได้อย่างไร” นางบุญปัน กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลไม่หยุด ท่ามกลางความโศกเศร้าของครอบครัวและชุมชน

















