แม่ทัพภาคที่ 1 ย้ำทวงคืนอธิปไตยได้แน่นอน พ้นเส้นตาย 10 ต.ค. หากกัมพูชายังไม่ส่งแผนอพยพ ทุกส่วนก็พร้อมอยู่แล้ว
วันที่ 25 ก.ย. 2568 พลโทอมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 เดินทางมาที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 เพื่อเข้าประชุมติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา โดยภายหลังการประชุมกว่า 1 ชั่วโมง ก็ได้ลงมาตรวจกำลังพลและนำสิ่งของสาธารณูปโภค มามอบให้กำลังพล เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ
ภายหลังการกล่าวโอวาทให้กับกำลังพลแล้ว แม่ทัพภาคที่ 1 ได้เปิดเผยว่า วันนี้ให้กำลังใจและดูความพร้อมในเรื่องของกำลังพลและยุทโธปกรณ์กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หากมีสิ่งใดที่ต้องการเพิ่มเติมก็ขอได้กับทางกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ซึ่งพื้นที่ของเรามีความซับซ้อนหลายมิติอาจจะต่างจากพื้นที่อื่น อย่างไรก็ตามเราพยายามทำตรงนี้เพื่อรักษาอธิปไตย และปฏิบัติตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ ในส่วนการปฏิบัติงานของกองทัพภาคที่ 1 ที่ผ่านมา ทำในด้านของการวางแผนอำนวยการที่ใช้ในสถานการณ์ รวมถึงประสานงานคู่ขนานในหลายมิติ ซึ่งการวางแผนต่างๆ ก็ยึดถือตามกรอบที่เคยประชุม RBC ที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่การบันทึกข้อตกลง โดยการประชุม RBC ในครั้งแรกได้มีการเสนอ 4 เรื่อง 1.เก็บกู้ทุ่นระเบิด 2.ปราบสแกมเมอร์ 3.การจัดตั้งชุดประสานงานโดยใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานของไทยและกัมพูชา กับพื้นที่ระดับอำเภอและระดับผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ต่างๆ 4.เรื่องของการแก้ปัญหา MOU43 และที่สำคัญที่ได้เสนอไปแล้วเขายอมรับ และนำไปสู่การประชุมวาระ GBC คือการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง ซึ่งจะเป็นโมเดลที่นำไปสู่พื้นที่อื่นๆ
ส่วนเรื่องการควบคุมสถานการณ์ก็มีการมอบให้กับกองกำลังบูรพา เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ซึ่งระดมทุกภาคส่วน หากมีการยกระดับพัฒนาสถานการณ์เพิ่มขึ้น แต่การปฎิบัติก็ยึดถือมาตรฐานสากลจากเบาไปหาหนัก เนื่องจากพื้นที่ตรงนี้ทางกัมพูชาได้ยั่วยุ แต่ก็เคยระบุไปในข้อตกลง RBC ครั้งแรกแล้วว่า ห้ามยั่วยุ โดยการใช้มวลชนที่ประกอบไปด้วยเด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ และพระสงฆ์ เราจึงได้ประท้วงควบคู่ไป เพื่อชี้ให้เห็นว่าเขาทำในลักษณะเช่นนี้ เราต้องปฏิบัติให้สอดคล้องเพื่อไม่ให้ทางกัมพูชานำไปเบี่ยงเบนในเวทีโลก ซึ่งตอนนี้ทุกชาติทั่วโลกก็เห็นแล้วว่ากัมพูชาใช้วิธีการอย่างไร อย่างไรก็ตามตนได้ติดตามสถานการณ์โดยใกล้ชิดและมีแนวทางสั่งการให้แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงการประสาน พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. ในการขอกำลังพลตำรวจ คฝ. และยุทโธปกรณ์พิเศษ เช่น รถจีโน่ และมีการประชุมกับทุกส่วนเพื่อวางแผนให้สอดคล้องในทุกด้าน อย่างไรก็ตาม ขอให้มั่นใจว่า กองทัพภาคที่ 1 มีการเตรียมการวางแผนโดยรอบคอบในทุกมิติและทุกด้าน ทุกส่วนมีการประสานสอดคล้องกัน ให้พี่น้องประชาชนมั่นใจ
ส่วนสาเหตุที่เลื่อนการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้น เป็นเพราะข้อมูลยังไม่สมบูรณ์จึงมีการรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน แต่ยืนยันว่าจะเร่งให้ทันก่อนที่จะประชุม GBC ในวันที่ 10 ตุลาคม อย่างแน่นอน
และหากในวันที่ 10 ตุลาคม ชาวกัมพูชายังไม่ส่งแผนอพยพ ก็จะรายงานไปทางหน่วยเหนือ เพื่อหาแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ซึ่งในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 ก็พร้อมทุกส่วนอยู่แล้ว
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีให้อำนาจกับทางทหาร และประชาชนก็คาดหวัง แม่ทัพภาคที่ 1 บอกว่า “ก็ต้องไปเรียนถามกองทัพบก และก็กระทรวงกลาโหมเป็นหลัก”
ในส่วนภูมิภาคอื่นๆ มีความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชา ก็ติดตามสถานการณ์โดยต่อเนื่อง แต่จากการข่าวต่างๆ ที่มีอยู่ ส่วนใหญ่แล้วเท่าที่เราทราบวิธีการของเขา พื้นที่แม่ทัพภาคที่ 2 ก็จะใช้กำลังทหารเป็นหลักในการยั่วยุ แต่ภาค 1 ใช้มวลชนยั่วยุ จึงต้องคิดให้รอบคอบในการปฏิบัติ เราต้องไม่ตกไปอยู่ในเกมของกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา เขาเข้าตามเกมเราบ้างหรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 1 ตอบว่า เขาก็พยายามเข้ามาเกมเรา และยังพยายามจะเบี่ยงเบน แต่เราก็รู้ว่าเขามีข้อมูลเท็จ เอาทหารมาปลอมเป็นพระสงฆ์บ้าง เอาเด็กและสตรีมายั่วอยู่บ้าง หรือข้อตกลงที่ท่านผู้ว่าสระแก้วได้พูดคุยกับผู้ว่าฝั่งนั้น แต่พอถึงเวลาผู้ว่าฯฝั่งนั้นกลับไปให้ท้าย แบบนี้เป็นต้น เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้วจะคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร แต่กองทัพภาคที่ 1 ก็พร้อมที่จะปลับเปลี่ยนได้ทุกรูปแบบและพร้อมปฏิบัติในทุกรูปแบบเช่นกัน
เราจะสื่อสารอย่างไรในเรื่องหลักเขตแดน 42 - 46 ว่าเราจะได้อธิปไตยของเราคืนมา แม่ทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่า ได้คืนมาแน่นอน แต่ต้องมีกระบวนการขั้นตอน ทหารทำอย่างเดียวทำไม่ได้ ต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องต่างๆ และเคยย้ำแล้วปัญหาต่างกัน ที่มาของปัญหาต่างกัน ฉะนั้นแนวทางการแก้ปัญหาก็ต้องต่างกัน แต่สุดท้ายก็ต้องปกป้องรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ
ส่วน 4 เรื่องที่เคยยื่นข้อเสนอในการประชุม RBC ครั้งต่อไป คาดว่าจะมีข้อไหนที่ฝั่งกัมพูชาจะไม่ตอบรับหรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 1 บอกว่า ยังคาดการณ์หรือตอบไม่ได้ ต้องให้ทางเราเตรียมข้อมูลให้พร้อมก่อน กับการจัดระเบียบชายแดน เรายึดตามสันติวิธี ยืนยันว่าเราต้องรักษาอธิปไตย เรียกประโยชน์ต่างๆ ของไทยกลับคืนมา
ส่วนในช่วงการเปลี่ยนผ่านวาระการดำรงตำแหน่ง ก็ยืนยันว่า เรามีการกำหนดทิศทางวางแผนเป็นกรอบต่างๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะมา เราทำงานกันเป็นระบบ แต่อาจจะไม่ได้ออกมาชี้แจงอะไรมากมาย
ส่วนที่จะมีอะไรเน้นย้ำให้คนใหม่หรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 1 บอกว่า “ท่านมีความสามารถอยู่แล้ว ผมเชื่อมั่นเขาเติบโตมากับผม ผมไว้ใจ สิ่งที่ทำทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบทิศทางที่จะเดินไปตามทางเดียวกันอยู่แล้ว”
สำหรับที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของแม่ทัพภาคที่ 1 จากประชาชน แม่ทัพภาคที่ 1 ย้ำว่า ตนทำงานมาโดยตลอด และการทำงานของทัพภาค 1 คือการอำนวยการคลี่คลายสถานการณ์ และประสานงานในส่วนของตนควบคู่ไปกับระดับนโยบาย
“ผมทำตลอดแต่ไม่ได้อยากอะไรมากมาย และมีคนรู้ว่าผมทำมาโดยตลอด ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ว่าเราไม่ได้ออกมาบอกแค่นั้น” แม่ทัพภาคที่ 1 ระบุ