จากกรณีการเสียชีวิตของน้องไบรอั้นเด็กทารก เพศชาย วัย 2 เดือน ที่ถูกนายนิพนธ์ และ น.ส.เฟย ภรรยาสาววัย 19 ปี เป็นพ่อและแม่ของเด็ก ถูกนำมาขุดหลุมดินฝังไว้ ที่บริเวณเชิงเขากบ เขตเทศบาลนครนครสวรรค์

ล่าสุดทีมข่าวช่องแปด ได้รับคลิปจาก นาย พิพัฒน์ หรือม่อน ซึ่งเป็นคลิปตอนที่กลุ่มเพื่อนเค้นถามพ่อและแม่ของน้องไบรอั้นจนรู้ว่าทั้งสองคนนำศพลูกไปฝังไว้บริเวณเชิงเขากบ จึงให้ทั้งสองคนพาไปขุดหลุมหาศพของลูกก่อนจะแจ้งตำรวจ

โดยในคลิป เป็นการพูดคุย ระหว่างกลุ่มเพื่อนกับพ่อแม่ของน้องไบรอั้น โดยกลุ่มเพื่อนกล่าวว่าให้ตั้งสติ ต่อให้พวกกูไม่แจ้งความมึงเอาไปโรงพยาบาลเขาก็ต้องชันสูตรศพ กูมีทางเลือกให้มึงแล้วใช่ไหม ถ้าทำตามขั้นตอนแล้วก็เอาศพเด็กไปฝังก็จบแต่พวกมึงเลือกกันเอง

และตอนที่กู้ภัยมาก็ไม่ยอมบอกจนตอนนี้ยามวิกาลใครจะมาช่วยมึง ตำรวจก็ต้องมาและสองผัวเมียมึงจะให้การกับตำรวจเค้ายังไง พ่อแม่ของน้องไบรอันก็ไม่ตอบ เพื่อน

เพื่อนจึงพูดอีกว่าถ้าลูกตายแล้วโทรแจ้งตำรวจตำรวจเค้ายังอะลุ่มอล่วย มีปัญญามีลูกก็ต้องรู้จักเลี้ยงลูกด้วย

กูเพิ่งคุยกับน้องสองคนว่าถ้ามึงเลี้ยงลูกไม่ไหวก็จะเอามาเลี้ยงเองแต่มึงฝังลูกมาแล้วสองอาทิตย์ ถ้าทำให้มึงสองผัวเมียตายคาตีนแล้วลองฝังดูบ้างเอาไหม

เมื่อถามว่าทำไมน้องไบรอั้นถึงเสียชีวิต พ่อ ตอบหยุดลมหายใจ แม่ตอบว่า ตอนแรกคิดว่ามันนอนหลับ แล้วแล้วก็กะจะปลุกกินนมนี่แหละ แล้วพบว่าไม่หายใจนิ่งไปเลย แล้วทั้งสองคนก็ยอมรับกับเพื่อนว่าเลี้ยงลูกไม่เป็นจากนั้นเพื่อนก็ให้พ่อแม่ของน้องไบรอั้น ไปที่จุดฝังศพแล้วก็ขุดศพขึ้นมาจากนั้นก็โทรแจ้งตำรวจ

ล่าสุดทีมข่าวช่องแปดได้คุยกับ นาย พิพัฒน์ หรือม่อน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ของพ่อแม่น้องไบรอั้น เปิดเผยว่าการเสียชีวิตนั้นตนมาสังเกต หลังจากที่ฝังศพแล้วสังเกตเห็นว่า พ่อและแม่ของน้องไบรอั้น เดินคู่กันไปมาแถวหอพักและไปด้วยกันหลายที่โดยไม่มีลูก จึงสอบถามว่าลูกไปไหนเค้าก็บอกว่า “ลูกมีคนเอาไปเลี้ยง”

ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่งเกิดความเอะใจและนายไบรอั้น บอกกับ รุ่นพี่อีกคนว่าลูกตายแล้ว ตนจึงมาเค้นถามและได้รับคำตอบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เชื่อแน่นอนว่าน้องไบรอั้น จะเสียชีวิต เองเพราะจากพฤติกรรมของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูน้องไบรอั้น ทั้งสองคนเลี้ยงลูกไม่เป็นและเคยเห็นพ่อ ใช้หมอนกดหน้าน้องไบรอั้น เพราะรำคาญเสียงร้องซึ่งตอนนั้นเพื่อนก็ตกใจและสั่งห้ามไม่ให้ทำ เหตุการณ์การเสียชีวิต นี้จึงทำให้เชื่อได้ว่าการเสียชีวิตของน้องไบรอั้นน่าจะมีการทำให้เสียชีวิตเพราะได้ยินข่าวมาว่ามีร่องรอยฟกช้ำตามร่างกาย

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นตนเองเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนรักน้องไบรอั้นเป็นอย่างมากที่ผ่านมาเคยบอกพ่อกับแม่ของน้องไบรอั้นว่าถ้าเลี้ยงไม่ไหวจะเอามาเลี้ยงเองเพราะเขาทั้งสองคนนอกจากเลี้ยงลูกไม่เป็น และไม่ตั้งใจที่จะมีลูก

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ได้แจ้งข้อหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้เพราะอายุ ความป่วย ความเจ็บ การพิการหรือจิต พิการ และการกระทำความผิดเป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย และลอบฝัง ซ่อนเร้นย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายกับผู้ต้องหาทั้ง 2

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการนำตัวนายนิพนธ์ และ น.ส.เฟย ไปสอบปากคำ จนรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันนำไปฝังดินจริง แต่ปฏิเสธไม่ได้มีการทำร้ายลูกจนตาย ส่วนที่ลูกเสียชีวิต เนื่องจากเด็กมีอาการป่วยติดเชื้อที่ปอด แล้วหยุดหายใจตายไปเอง จึงช็อก ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก เลยตัดสินใจนำศพลูกไปขุดหลุมฝังดิน

ล่าสุดทีมข่าวช่องแปดได้คุยกับ นายอดิศร มูลนิธิ เจ้าพ่อกวนอูกู้ภัยนครสวรรค์ เปิดเผยว่าวันเกิดเหตุพบศพน้องไบรอั้นนั้น เวลาประมาณ 22:00 น. เพื่อนของพ่อแม่เด็ก เดินทางมาที่มูลนิธิและนำคลิปเสียงคำสารภาพของพ่อแม่เด็กว่า ลูกตายแล้วเอาไปฝังมาให้ฟังตอนนั้นก็ยังไม่เชื่อและ ประสานห้องวิทยุสภ. เมืองนครสวรรค์เพื่อรับทราบเหตุจากนั้นกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้ก็หายไป

จนกระทั่งตีสามเพื่อนของพ่อแม่น้องไบรอั้น มาเคาะประตูเรียกที่มูลนิธิบอกว่าช่วยไปเก็บศพเด็กที่ฝังไว้บนเขากบตอนนั้นก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กแล้วบนเขากบเป็นดินที่ค่อนข้างแข็งการจะฝังร่างของเด็กก็ทำได้ยากอีกทั้งมีสุนัขเยอะจึงแปลกใจว่าทำไมพ่อแม่เด็กจึงนำไปฝังตรงนั้นได้

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็พบร่างของน้องไบรอั้นอยู่ในสภาพ อวัยวะภายในเริ่มเน่าเปื่อยสีผิวคล้ำเน่า และมีน้ำเหลือง โดยจากการตรวจสอบด้วยสายตาไม่พบว่ามีร่องรอยการทำร้ายกระดูกแขนขาตามลำตัวยังเป็นปกติไม่ ผิดรูป

เมื่อสอบถาม ความผิดหวังของเหตุการณ์นี้นายอดิศรบอกว่าก็สงสัยว่าทำไมไม่ยอมแจ้งตำรวจตั้งแต่รู้ว่ามีการเสียชีวิตแต่กลับมาปรึกษากู้ภัยเหมือนจะมีการปิดบังอะไรบางอย่าง เมื่อถามว่าโดยส่วนตัวแล้วกู้ภัยเชื่อหรือไม่ว่าเด็กเสียชีวิต เองหรือมีการทำให้เสียชีวิต กู้ภัยระบุว่าไม่สามารถตอบได้แต่จากสภาพศพก็ไม่สามารถดูด้วยสายตาว่ามีการทำร้ายเด็กหรือไม่ แต่ก็เข้าใจในมุมของวัยรุ่นเลี้ยงลูกว่าเป็นอย่างไรจึงไม่ฟันธงว่าเสียชีวิตเองหรือมีการทำให้เสียชีวิต