จากกรณีวานนี้ (8 พ.ค.) อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแก่งเสี้ยน จ.กาญจนบุรี เข้าแจ้งความกับ สภ.เมืองกาญจนบุรี หลังบ้านพักที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ถูกคนร้ายขโมยหายเกลี้ยงไปทั้งหลัง พร้อมทั้งนำภาพถ่ายเป็นเศษปูนและเสารั้วที่เหลือไว้อีกเพียง 1 ต้น โดยได้แจ้งว่าทรัพย์สินที่สูญหายไปจำนวน 7 รายการ ประกอบด้วย เหล็กประตูวงกลม ยาว 6 เมตร จำนวน 2 ต้น โครงสร้างเหล็กประตูด้านหน้า จำนวน 2 บาน บานประตูด้านหลัง จำนวน 2 บาน เหล็กแปรหลังคา จำนวน 150 เส้น เหล็กตัวซี 5 นิ้ว จำนวน 50 เส้น แผ่นเหล็กหลังคาเมทัลชีท จำนวน 35 แผ่น แท็งก์น้ำขนาด 5,000 ลิตร จำนวน 2 ลูก และอื่น ๆ อยู่ระหว่างการตรวจสอบอีกจำนวนมาก






หลังจากที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ทางพนักงานสอบสวนได้เดินทางไปตรวจสอบยังจุดเกิดเหตุ พบว่าในพื้นที่มีเพียงเศษปูน ก้อนอิฐบล็อกแตกกระจายเกลื่อนอยู่ตามจุดต่าง ๆ จำนวน 7 จุด โดยถูกรื้อเอาเหล็กออกไปจนไม่เหลือ แต่ยังคงทิ้งเสารั้วป้ายด้านหน้าประตูไว้เพียง 1 ต้น เท่านั้น สำหรับความเสียหายเบื้องต้น อดีตนายก อบต.แก่งเสี้ยน กล่าวว่า ไม่ต่ำกว่า 4 ล้านบาท กำลังตรวจสอบเอกสารการสั่งซื้อสินค้าจากสถานที่ต่าง ๆ หากรวบรวมได้จะนำไปยื่นกับทางพนักงานสอบสวน และเบื้องต้นต้องรอให้ทางเจ้าหน้าที่ทำงานหาตัวผู้กระทำผิดว่ามีใครบ้าง ส่วนตนเองได้ติดต่อช่างกล้องวงจรปิดในวันที่ 9 พ.ค. นัดเดินทางเข้ามาตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นช่องทางออกจากจุดเกิดเหตุต่อไป






ล่าสุดวันนี้ (9 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับ นายจักรกฤช มหากิจวรกุล ผู้เสียหาย ในฐานะอดีตนายก อบต.แก่งเสี้ยน เผยว่า เมื่อวานนี้ลูกน้องของตนได้โทรศัพท์มาบอกกับตนว่า บ้านพักที่กำลังสร้างถูกขโมยวัสดุต่าง ๆ จนเหมือนบ้านหายไปทั้งหลัง ไม่เหลือแม้กระทั่งเสาโครงบ้าน จึงไปดูด้วยตนเอง ก่อนไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ




สำหรับพฤติการณ์ของคนร้ายตนทราบเพียงว่า คนร้ายได้เข้ามาโดยรถบรรทุกหกล้อ ซึ่งคาดว่าน่าจะก่อเหตุเสร็จสิ้นภายในวันเดียวสำเร็จ เพราะปกติบริเวณที่เกิดเหตุจะมีลูกน้องของตนดูแล 2 คน ในทุก ๆ คืน ซึ่งตนสันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่เคยก่อเหตุเข้ามาขโมยโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ของตนเมื่อต้นปีที่แล้วและตนได้ดำเนินคดีไป จึงเกิดความแค้นมาก่อเหตุอีกในครั้งนี้ เพราะดูจากพฤติการณ์ผู้ก่อเหตุไม่ใช่การเข้ามาขโมยวัสดุก่อสร้างไปขายแบบธรรมดา แต่คนร้ายมีการจงใจทุบวัสดุทุกอย่างให้พังทั้งหมด ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น แต่อย่างไรก็ตาม ตนยังคงต้องรอตรวจสอบหลักฐานอีกครั้ง เพื่อมัดตัวคนร้ายให้ได้ ตนยืนยันจะเอาเรื่องทางคดีให้ถึงที่สุด




จากที่ตนสันนิษฐาน ว่าผู้กระทำความผิดอาจเป็นแก๊งเก่า เนื่องจากเขาเป็นลูกน้องเก่าของตนมาก่อน รู้รายละเอียดของตนเยอะ และรู้ว่าจะมีคนเข้าออกยังไง ในคดีเก่าที่เขาขโมยโซลาร์เซลล์นั้น ได้มีการตัดสินให้รอลงอาญา แต่จะพุ่งตรงไปที่เขาเลยก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปาก เพราะเนื้อที่ทั้งหมดมัน 55 ไร่ เป็นพื้นสร้างทำรีสอร์ต ตั้งแคมป์ และจะทำสนามแข่งด้วย ตนยอมรับว่า ด้วยพื้นที่มันอยู่บนเขาและจังหวัดใกล้ชายแดนก็มีโจรเยอะมาก ยาเสพติดก็เยอะ อาจจะเป็นฝีมือกลุ่มนั้นก็ได้เช่นกัน สุดท้ายตนอยากฝากถึงหน่วยงานเร่งทำคดีให้ด้วย เพราะไม่ใช่แค่ตนเดือดร้อน คดีแบบนี้มีเยอะมากในจังหวัด


ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางขึ้นไปบนเขาที่เกิดเหตุ พบรอยต้นไม้โดนเผาและมีซากขวดน้ำ กล่องข้าว เต็นท์ที่พัง กำแพงอิฐที่โดนทุบ รีโมทแอร์ ซาก ท่อน้ำ แผ่นสะท้อนความร้อนตกอยู่ บริเวณที่เกิดเหตุเต็มพื้นที่ จากการสำรวจ พบว่า ต้องใช้รถคันใหญ่ขับขึ้นไป แล้วถ้าจะมีการทำลาย อย่างที่เป็นข่าว ต้องมีจำนวนคนที่เยอะและชำนาญทาง




ทั้งนี้ ทีมข่าวยังพบว่า จุดที่สามารถจะเห็นรีสอร์ตดังกล่าวได้ คือ สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ที่ถ้าเดินทาง แค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ถ้าทำการขับรถต้องอ้อมเขา และใช้เวลาประมาณ 20 นาที พร้อมได้พูดคุยสอบถามกับ พระมโนทัย สุธัมโม เป็นพระวัดป่า มีจำพรรษาเพียง 3 รูป ซึ่งมีพื้นที่ 44 ไร่ มีเพียงไร่มันสำปะลังกั้นไว้เท่านั้น




พระมโนทัย เผยว่า ตนจำพรรษามา 2 ปี และก็เดินผ่านรีสอร์ตที่เป็นประเด็นประจำ เพราะเขาอีกลูกใกล้กับรีสอร์ตของอดีตนายกนั้น มีสำนักสงฆ์ที่อาตมาเดินไปประจำ และถ้าถามว่าเคยได้ยินเสียงการทุบหรือก่อสร้าง ๆ ไหมนั้น ได้เล่าว่า บริเวณสำนักสงฆ์นั้นใกล้กับการก่อสร้าง และสนามปืนกับการทิ้งระเบิดของค่ายทหาร จนบางครั้งก็แยกไม่ออก แต่ก็มีเห็นการก่อสร้างของอดีตนายกบ้าง แต่อาตมาก็ระบุไม่ได้ว่าใคร หรือทีมของใคร แต่ที่เห็นก็คืนในวันที่ 7 พ.ค. ช่วง 1-2 ทุ่ม ถ้ามองจากกุฏิที่อาตมาจำพรรษามองออกไปก็เห็นมีแสงไฟ เหมือนจากไฟฉายหลาย ๆ อัน ซึ่งอาตมาก็ระบุไม่ได้จริง ๆ และรถแปลก ๆ ก็มีเยอะเหมือนกัน โจรก็เยอะ รั้ว สายไฟ สำนักสงฆ์ก็เคยโดนขโมยเหมือนกัน อาตมาก็เลยไม่กล้าระบุ หรือชี้ชัดได้

 

สุดยอดโจร! ใช้ 6 ล้อขโมยรีสอร์ต 55 ไร่ แม้แต่แท็งก์น้ำ 5 พันลิตรก็สาบสูญ