จากกรณีสมาชิก TikTok รายหนึ่งโพสต์คลิป น้องเสียงแคนใส่ชุดนักเรียน นั่งเล่นเปียโนร้องเพลงอยู่ที่ตลาดแห่งหนึ่ง และมีป้ายไวนิลติดไว้ตรงหน้าเปียโน มีข้อความว่า “แม่ผมตาย ลุงโกงเงินผม พ่อผมล้มละลาย ช่วยพวกเราด้วยครับ” นอกจากนี้ น้องยังได้โพสต์คลิปเป็นการซ้อมเพลงเพื่อเตรียมไปเล่นตามตลาดหาเงินเลี้ยงชีพ โดยพ่อบรรยายในคลิปว่า น้องกำลังซ้อมเล่นเพลงเดือนเพ็ญเพื่อไปเล่นตามตลาดนัดหาเงินเลี้ยงชีพ ส่วนห้องที่อยู่ก็เช่าเขา




วันนี้ (1 พฤษภาคม 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวลับ ที่มาให้ข้อมูลอีกด้านคือ นางสาวเมล่อน (นามสมมติ) อายุ 32 ปี เพื่อนครูโรงเรียนที่น้องแคน เด็กนักเรียนที่ดีดเปียโนหาเงินเลี้ยงตนเองและครอบครัวหลังพ่ออยู่ในสภาวะล้มละลายเรียนอยู่ เล่าว่า ตอนนี้น้องแคนกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมมาศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ไม่ห่างจากแฟลตที่พักอาศัยอยู่ในเขตบางนา-ตราด กทม. โดยน้องย้ายจากโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งใน กทม. มาเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ได้ประมาณสามปีแล้ว ช่วงที่น้องทำเอกสารขอย้ายมาเรียนที่นี่ก็มีเพียงคุณแม่ของน้องที่ดูแลน้องเป็นหลักอยู่ฝ่ายเดียว ก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนไม่เคยได้พูดคุยกับคุณพ่อของน้องมาก่อน เป็นในส่วนของแม่ที่ดูแลน้องเป็นหลัก ทางโรงเรียนก็จะรายงานทั้งพฤติกรรมของน้องและการเรียนให้ทางคุณแม่ทราบโดยตลอด


กระทั่งแม่ของน้องแคนเสียชีวิต ทางโรงเรียนก็ได้มีการไปมอบเงินช่วยเหลืองานศพแม่ของน้องแคน ซึ่งตอนนั้นก็แปลกใจที่ไม่พบคุณพ่อน้องแคนอยู่ในงานศพ เนื่องจากพ่อไม่กล้าเข้างานศพของภรรยา เพราะพ่อไม่ถูกกับลุงที่เป็นพี่ชายภรรยา ส่วนเงิน ช่วยเหลืองานศพทางโรงเรียนก็ได้มอบให้กับคุณลุง หลังจากนั้นทางคุณลุงและคุณย่าก็ได้มีการติดต่อกับโรงเรียนสม่ำเสมอเพื่อติดตามพฤติกรรมและการเรียนของน้อง


รวมทั้งคุณลุงและคุณย่าส่งเงินมาให้ครูประจำชั้นเป็นประจำเพื่อให้ดูแลค่าใช้จ่ายของน้องแคน มีการย้ำกับครูว่า ถ้าหากฝากเงินของน้องให้กับพ่อของน้องแคนเกรงว่าพ่อจะใช้เงินของน้องหมด จึงให้ครูดูแลและจัดการเรื่องเงินของน้องในเรื่องการศึกษาและการใช้ชีวิตที่โรงเรียนแทนพ่อ


พ่อของน้องแคนเริ่มมีบทบาทเลี้ยงน้องแคนจริงจังหลังจากแม่เสียชีวิตแล้ว โดยใช้สิทธิ์ผู้มีความชอบโดยกฎหมายในการดูแลบุตร ดูแลและพักอาศัยในบ้านหรูแห่งหนึ่งที่พ่อสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงกับแม่ แต่บ้านรู้หลังนี้ถูกยึดไปแล้วเพราะครอบครัวอยู่ในฐานะล้มละลาย ซึ่งแม้ว่าบ้านหลังนี้ก็ถูกยึดทรัพย์ไปแล้วแต่พ่อของน้องแคนยังพาลูกมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ ครูในโรงเรียนเคยไปเยี่ยมบ้านหลังดังกล่าวหลังแม่น้องแคนเสียชีวิต สภาพไม่ได้เป็นบ้านทรุดโทรมอย่างมากไม่เหมาะกับการเลี้ยงเด็ก มีการถอดหน้าต่างออกไปหลายบ้านเพื่อเอาไปขายหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและลูก




แล้วตนยังทราบอีกว่าพ่อของน้องแคนวิกฤตการเงินหนัก ถูกดำเนินคดีไปฉ้อโกงคนอื่นหลายคดี ไม่ได้มีคดีฉ้อโกงเดียวแค่เรื่องเปียโนที่น้องแคนเล่นเปียโนรับบริจาคเงินตาทคลิปเท่านั้น ต่อมาพ่อของน้ำแคนก็พาย้ายออกจากบ้านหรูและไปเช่าแฟลตของการเคหะอยู่ ซึ่งตนก็ค่อนข้างตกใจมากที่เพิ่งมาเห็นคลิปว่าพ่อพาน้องแคนไปเล่นเปียโนเพื่อเปิดรับบริจาค ยืนยันว่าในป้ายไวนิวที่ระบุว่าถูกลุงโกงเงินไม่เป็นความจริง เพราะก่อนหน้านี้ทางครอบครัวแม่น้องแคนเคยเตือนไม่ให้คบผู้ชายคนนี้ ซึ่งแม่เลือกครอบครัวก็มีการหอบมรดกบางส่วนมาสร้างครอบครัวกับพ่อน้องแคน ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ภาวะล้มละลาย


ล่าสุดลุงของน้องแคนได้ตั้งทนายความเพื่อที่จะยื่นเรื่องศาลขอสิทธิ์ปกครองน้องแคนแล้ว โดยยื่นขอให้น้องแคนเป็นลูกบุญธรรม และยังได้มีการยื่นเรื่องทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อขอให้น้องแคนลาออกแล้วย้ายไปอยู่โรงเรียนชื่อดังซึ่งเป็นโรงเรียนประจำในจังหวัดลพบุรี แต่ก็ปรากฏว่าพ่อของน้องแคนรู้เรื่องและไม่พอใจก็ส่งจดหมายถึงโรงเรียนอ้างสิทธิ์เป็นผู้ปกครองบุตรโดยชอบทำตามกฏหมาย ทำให้ทางโรงเรียนไม่สามารถให้น้องแคนลาออกตามเจตจำนงของลุงได้ นอกจากนั้นยังมีพฤติกรรมปั่นป่วนในโรงเรียน หลังจากพ่อทะเลาะกับผู้ปกครองรายหนึ่ง โดยไม่พอใจที่ตัวเองอยากจะปั้นลูกให้เป็นนักเล่นเปียโนระดับสากล แต่มีผู้ปกครองในโรงเรียนที่แย้งว่าควรตั้งโจทย์ให้ลูกมีความสุขและให้เป็นตัวของตัวเองในแบบที่ใช่ดีกว่า แต่พ่อน้องแคนกลับส่งภาพนิ่งปืนที่วางอยู่บนโต๊ะส่งไปในกลุ่มไลน์ที่มีทั้งผู้ปกครองและเด็กอายุประมาณ 11-12 ขวบอยู่


ตนมาทราบภายหลังว่า ปืนกระบอกดังกล่าวที่พ่อน้องแคนเอามาโชว์ขู่ผู้ปกครองในกลุ่มไลน์เป็นปืนที่พ่อเพิ่งให้สัมภาษณ์กับช่อง 8 เมื่อวานนี้ว่า ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ขายไปหมดแล้ว เหลือเพียงสองชิ้นที่ยังไม่ขายแต่จะเก็บไว้ คือเปียโนและปืนกระบอกนี้ที่เอามาโชว์ขู่ครูผู้ปกครอง ซึ่งตนเองก็ไม่กล้าที่จะให้หลักฐานไลน์ที่พ่อโชว์ภาพนิ่งปืน เนื่องจากตอนนี้ครูในโรงเรียนทุกคนรวมทั้งผู้ปกครองก็กลัวว่าพ่อของน้องแคนจะมาตามไล่ยิงเพราะเจ้าตัว มีสถานะล้มละลายและมีคดีฉ้อโกงติดตัวหลายคดี จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่เหลืออะไรแล้วและก่อเหตุลักษณะดังกล่าว จึงต้องการเซฟความปลอดภัยเรื่องหลักฐานของตัวเอง


ก็อยากให้ช่อง 8 ช่วยเป็นกระบอกเสียงเสาะหาข้อเท็จจริงหลายด้านเพราะตนเองก็ไม่ได้อยากให้คนที่เป็นพ่อนำลูกมาหาเงินลักษณะนี้ ซึ่งในส่วนตัวน้องก็มีลักษณะคล้ายเด็กที่มีความพิเศษ คือมีลักษณะที่ไม่เหมือนเด็กทั่วไปบางเรื่อง




วันนี้ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายอนุชา อายุ 52 ปี เป็นพ่อของน้องแคน เปิดใจกับเราว่า ตนไม่เคยบอกเป็นพ่อที่ดีของลูก เพราะที่ผ่านมาตนก็เคยทำอะไรผิดพลาดในส่วนความสัมพันธ์ตนและอดีตภรรยาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน โดยไม่จดทะเบียนสมรสประมาณ 7-8 ปี มีลูกชายด้วยกัน 1 คนคือน้องแคน ต่อมาภรรยาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ยอมรับว่าแต่ก่อนภรรยาคือคนเลี้ยงลูกเป็นตัวหลัก เพราะภรรยาเป็นวิศวกรมีเงินเดือนตกเดือนละ 85,000 บาท ในขณะที่ตนเองไม่ได้มีเงินสูงขนาดนั้น และมีการร่วมกันซื้อบ้านหรูแต่ชื่อเจ้าของบ้านเป็นชื่อของภรรยา


ก่อนภรรยาเสียชีวิตตนก็เคยทำเรื่องผิดพลาด โดยตนทำธุรกิจผิดพลาดหลายอย่างเป็นงานไอทีวางระบบของราชการ ซึ่งก่อนที่จะล้มละลายตนได้ไปซื้อเปียโนให้ลูกตัวหนึ่งในราคา 180,000 บาท เป็นการผ่อนจ่าย หลังตอนล้มละลายไม่สามารถหาเงินหมุนมาผ่อนจ่ายในแต่ละเดือน ได้จึงถูกบริษัทที่เป็นเจ้าของเปียโนดำเนินคดีโดยแจ้งความที่ สน.ท่าข้าม ในช่วงมีนาคม 2567


และความผิดพลาดเรื่องที่สอง คือหลังที่ตัวเองล้มละลายแล้ว บ้านหรูของตนเองก็ถูกยึดธนาคารยึดไปก่อนขายทอดตลาดให้เจ้าของคนใหม่ ยอมรับว่าตนไม่มีที่ไปจึงอยู่ต่อในบ้านที่ธนาคารยึดและขายทอดตลาดให้เจ้าของใหม่แล้ว ต่อมาถูกเจ้าของใหม่ฟ้องศาลขับไล่และก็ยอมรับอีกว่าตนและลูกไม่ยอมย้ายออก แต่ตนมีการยื่นข้อเสนอกับเจ้าของบ้านคนใหม่ว่า ตนเองขอเงินสักก้อนหนึ่งจากเจ้าของบ้านคนใหม่แล้วตนกับลูกจะย้ายออกทันที แต่เจ้าของบ้านคนใหม่กลับบอกว่า “แม้แต่เงินบาทเดียวก็ไม่ให้”


ตนโมโหกับคำพูดของเจ้าของบ้านมาก จึงบีบเจ้าของบ้านคืนว่า “ถ้าไม่ให้เงินก้อน ตนก็ขออนุญาตถอดหน้าต่างและเอาทรัพย์สินในบ้านไปขายเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงลูก” หลังจากนั้นตนก็ทำทันที ต่อมาในช่วงเดือนสิงหาคม 2566 เจ้าของบ้านก็แจ้งความอาญาว่าตนลักทรัพย์ จนตนถูกฝากขังที่ศาล ศาลอนุญาตให้ถอนประกันตัวได้แต่ต้องใช้เงิน 45,000 บาท แต่ตอนนั้นตนไม่มีเงิน มีเงินเพียงแค่ 9,000 บาทเท่านั้น ศาลเมตตาให้ประกันตัวด้วยจำนวนเงินหลักทรัพย์เพียง 9,000 บาท แต่ต้องใส่กำไร em หลังจากนั้นตนก็ย้ายลูกออกมาจากบ้านหรูและมาเช่าแฟลตอยู่ที่การเคหะ


ในส่วนที่ตนบอกว่าลุงของน้องแคนโกงเงิน เพราะอดีตภรรยาได้ทำผลประโยชน์ยกเงินประกันชีวิตและเงินประกันสังคมทั้งหมดให้พี่ชายคือลุงน้องแคนเพียงคนเดียว เพราะอดีตภรรยาไว้ใจพี่ชายมากแต่พออดีตภรรยาเสียชีวิตและพี่ชายได้ผลประโยชน์ทั้งหมด กลายเป็นว่าทั้งลุงและย่าของน้องแคนบล็อกไลน์หลานทั้งหมด มีเพียงการช่วยเหลือในระยะแรกด้วยการโอนเงินช่วยตอนและลูกเพียงสามครั้งเท่านั้น และไร้การเหลียวแลไม่ติดต่อมาเลย


“การกระทำของลุงเป็นการโกงเงินหลาน เขาไม่มีการมาเหลียวแลอะไรเลย โกงความเป็นพี่เป็นน้องโกงศักดิ์ศรี โกงสิ่งที่เคยรับปากไว้ เพราะน้องสาวฝากชีวิตลมหายใจสุดท้ายไว้ว่าฝากหลานด้วยนะ ถ้าเราจนตรอกขนาดผมยิงลูกตายิงตัวเองตาย ซึ่งปืนคือสมบัติชิ้นสุดท้ายของผม และเป็นสมบัติที่ตนจะขายต่อคือปืนเพื่อเอามาเลี้ยงลูก”


ส่วนปืนเป็นปืนกล็อก 19 เจน 5 มีทะเบียนชื่อครอบครองเป็นชื่อของตนเอง ซื้อในราคา 85,000 บาท ถ้าขายคงได้เงินไม่ถึง 50,000 บาท ส่วนที่ตนเองเคยเอาปืนไปขู่ครูและผู้ปกครองในโรงเรียนลูก เพราะผู้ปกครองพูดจาในไลน์ไม่สุภาพ ว่าเด็กก้าวร้าวเกิดเมื่อวาน ตนจึงถ่ายรูปปืนและโพสต์ในไลน์กลุ่ม แล้วผู้ปกครองขู่จะแจ้งความตำรวจ ตนเลยตอบคืนว่าแจ้งความเลยตนไม่กลัว และจะอ้างว่าบันดาลโทสะและโมโหมากที่มาพูดจากับตนเองแบบนี้


สุดท้ายไม่เชื่อที่ลุงจะฟ้องยื่นขอลูกตนให้เป็นลูกบุญธรรม เพราะที่ผ่านมาลุงทิ้งหลานตลอด มีเพียงแค่ตนกับลูกที่ฝ่าฟันเรื่องทุกอย่างสองคนเท่านั้น ซึ่งตนไม่ขออะไรมากเกี่ยวกับเรื่องความช่วยเหลือขอแค่ให้ท่านอธิบดีอัยการช่วยเหลือตนให้ตนและลูกมีงานทำก็พอแล้ว




ด้านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่เยาวชน บอกว่า ตนเองได้มีโอกาสเจอกับพ่อและน้องแคนแล้ว ได้มีการแนะนำพ่อว่าการที่นำลูกมาเล่นเปียโนแล้วรับบริจาคเงินรู้หรือไม่ ว่าเป็นการผิดกฏหมายเกี่ยวกับเรื่องเด็ก ซึ่งพ่อก็บอกว่าไม่ทราบมาก่อน


นอกจากนั้นยังมีข้อความในป้ายไวนิวขณะที่เด็กเล่นเปียโนรับบริจาคเงินระบุว่าลุงโกงเงินผม ซึ่งทำลักษณะดังกล่าวไม่ถูกต้อง ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องเงินของแม่น้องแคนก่อนเสียชีวิต มีการทำประกันชีวิตไว้และประกันสังคม ทั้งสองส่วนมีการระบุในเอกสารชัดเจนยกให้ลุงของน้องแคนทั้งหมด ในเอกสารไม่มีการระบุให้พ่อของน้องแคน ยืนยันเป็นกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในส่วนที่ว่าทำไมแม่ของน้องแคนถึงมีการยกทั้งหมดให้ลุง ลุงคือพี่ชายแม่เป็นสายเลือดเดียวกันก็สามารถทำได้ ส่วนประเด็นลุงทอดทิ้งน้องแคนจริงหรือไม่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน


ในส่วนนี้ตนได้มีการชี้แจงพ่อของน้องแคนแล้ว ว่าทำไมผลประโยชน์เงินหลังแม่น้องแคนเสียชีวิตจึงต้องเป็นของลุง ซึ่งพ่อของน้องแคนอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าลุงโกงเงินแต่จริง ๆ ทำถูกต้อง และพ่อก็ทำไม่ถูกต้องบางอย่างหากมีการติดป้ายว่าลุงโกงเงิน อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดและเข้าใจคลาดเคลื่อนได้


ตนยังบอกกับพ่อของน้องแคนว่า อัยการยินดีที่จะเป็นคนกลางระหว่างพ่อและลุง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีของทุกฝ่าย เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจได้อย่างถูกต้อง และคุ้มครองสิทธิเด็กและปกป้องเด็กอย่างแท้จริงเพราะเราทำงานกับ พม. และกระทรวงพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์เป็นประจำ เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัว หาทางออกให้ดีที่สุดสำหรับเด็ก ในขณะที่ทราบว่าพ่อของน้องแคนมีการติดกำไร em และถูกดำเนินคดีหลายคดี ในส่วนนี้ได้ประสานกับ กระทรวงแรงงานเพื่อขอความช่วยเหลือให้หางานให้พ่อของน้องแคน เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว


สุดท้ายเรื่องน้องแคนจะลาออกหรือเรียนที่เดิม หรือสุดท้ายลุงจะยื่นศาลขอรับน้องแคนเป็นบุตรบุญธรรมและพ่อจะต่อสู้เพื่อเลี้ยงลูกเองหรือไม่ ในส่วนนี้อัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่เยาวชน สามารถไกล่เกลี่ยช่วยได้ ไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องกันไกล่เกลี่ยกันได้จะได้ไม่ต้องเสียเวลา ค่าใช้จ่ายฟรี โดยมีกระบวนการรับฟังทั้งลุงและพ่อว่าแต่ละคนสามารถดูแลน้องแคนได้อย่างไร โดยมีข้อกฎหมายที่ถูกต้องเป็นตราชั่งตั้งตรงไม่เข้าข้างฝ่ายใด สามารถทำจบตกลงได้ ซึ่งกรณีลักษณะนี้ตนทำมาหลายเคสแล้ว จึงอยากวอนให้ทั้งลุงและพ่อมาคุยกับตนเพื่อหาทางออกเรื่องนี้อย่างดีที่สุด ส่วนเรื่องปืนที่พ่อเคยโชว์ขู่กลุ่มไลน์ครูและผู้ปกครอง ตนประสาน พม. เรื่องนี้แล้วเพื่อแก้ไขต่อไป ซึ่งตนพยายามย้ำกับคุณพ่อแล้วว่าทำอะไรให้มีสติและอย่าผิดกฎหมาย




วันนี้ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายบอส (นามสมมติ) ลุงน้องแคน ที่เปิดใจทุกประเด็นทางโทรศัพท์กับเรา บอกว่า น้องสาวของตนใช้ชีวิตคู่กับน้องเขย โดยที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสจน กระทั่งน้องแคนอยู่ ป. 2 จากนั้นทั้งคู่ก็เลิกรากันไป ซึ่งยอมรับว่าน้องเขยสร้างหนี้ค่อนข้างเยอะให้กับน้องสาวตน และเคยเตือนน้องสาวตลอดว่าขอให้เลิกกับผู้ชายคนนี้ เนื่องจากน้องสาวต้นเป็นวิศวกรมีเงินเดือนค่อนข้างสูงและเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายของลูกทุกอย่าง โดยขณะที่ฝ่ายชายมีแต่ขอยืมเงิน ซึ่งตัวน้องสาวก็ทราบมานานแล้วว่าฝ่ายชายอยู่ในสภาวะล้มละลายตั้งแต่ช่วงที่คบกัน


จนกระทั่งน้องสาวได้มีการตัดสินใจซื้อบ้านหรูเพื่อที่จะสร้างครอบครัว แต่สุดท้ายทนพฤติกรรมของผู้ชายไม่ไหวจึงต้องหอบลูกหนีออกมาจากบ้านพักช่วงที่น้องแคนอยู่ ป.2 จากนั้นน้องเขยตนก็ปักหลักตนเองอยู่ที่บ้านหลังนั้น ต่อมาน้องสาวแบกรับภาระนี้ไม่ไหวตั้งใจจะขายบ้านหนูหลังนั้น จนกระทั่งในปี 2563 มีคนมาติดต่อขอซื้อบ้านแต่ปรากฏว่าถูกน้องเขยสร้างสถานการณ์ปั่นป่วน จนทำให้ผู้ซื้อเลิกซื้อบ้าน


จากนั้นน้องสาวตนก็พยายามที่จะขายบ้านหลังนั้นตลอด จนกระทั่งปี 2565 มีผู้หญิงรายหนึ่งมาติดต่อซื้อในที่สุดและทำสัญญาซื้อขายสำเร็จ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถย้ายไปอยู่ในบ้านนั้นได้จนต้องฟ้องศาลขับไล่น้องเขยออกจากบ้านพัก แต่น้องเขยก็ยังป่วนผู้ซื้อรายใหม่ โดยการอยู่ต่อและมีการถอดหน้าต่างทำลายข้าวของในบ้านพัก 




ทั้งนี้ น้องเขยปั้นเรื่องหลายอย่าง กระทั่งช่วงที่น้องสาวตนป่วยเป็นโรคมะเร็ง ได้ฝากฝังตนให้เป็นคนดูแลหลาน โดยสั่งเสียให้ไปเรียนที่โรงเรียนประจำชื่อดังในจังหวัดลพบุรี จากนั้นให้ไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ประเทศอินเดียและให้ตนเป็นผู้ดูแลเพียงคนเดียว และในส่วนของงานศพน้องสาว ห้ามให้อดีตสามีมาที่งานศพเด็ดขาด หลังน้องสาวเสียชีวิตยอมรับว่าน้องสาวยกผลประโยชน์ทั้งประกันชีวิตประกันสังคมให้กับตนเอง ซึ่งตนเองไม่ได้ทอดทิ้งหลาน ตนเองไปที่โรงเรียนหลานทุกเดือนเพื่อที่จะเอาเงินไปฝากไว้กับครูประจำชั้น


และตอนนี้กำลังดำเนินเรื่องยื่นศาลเพื่อขอหลานมาเป็นลูกบุญธรรมของตน ซึ่งหลานไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก มีตนคอยซัพพอร์ตเรื่องการเงินตลอด ตนเกลียดการกระทำของอดีตน้องเขย ที่เอาหลานไปเล่นเปียโนและเปิดรับบริจาคเงินลักษณะดังกล่าว ย้ำว่ายังติดต่อกับพ่อของหลานตลอดไม่ได้หายไปเหมือนที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง

 

ส่อวุ่น! พ่อน้องแคนส่งปืนขู่ผู้ปกครองเจ้าตัวโต้ทำเพราะรักลูก-ลุงโต้ไม่เคยโกงแต่ถูกขวาง