จากกรณีที่นางสาวจริยา อายุ 31 ปี หรือแอม และศุภพร อายุ 37 ปี เดินทางเข้าพบนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกเพื่อนบ้านตามหาเรื่อง สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และบุกทำลายทรัพย์สิน เหตุเกิดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง

 

โดยนางสาวจริยาเผยว่า ตนเองได้เข้ามาซื้อบ้านอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเวลาประมาณเจ็ดเดือน ที่ผ่านมาก็ใช้ชีวิตตามปกติ ก่อนที่ในช่วงประมาณปลายปีที่ผ่านมา คู่กรณีจะเข้ามาซื้อบ้านอยู่ถัดไปหนึ่งซอยจากบ้านพักของตนเองแต่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน

 

ต่อมาตัวคู่กรณีมีการเดินแจกกะปิ โดยอ้างว่าจะทำการนำมาขายอยากให้เพื่อนบ้านชิมก่อนจะมาพูดคุยกับน้องชายของตนเอง ที่มาช่วยงานส่งอาหาร และตีสนิทโดยให้เหตุผลว่าเป็นคนใต้เหมือนกัน และมีการพูดคุยซักถามว่า น้องชายตนเองได้เงินค่าจ้างรายวันจากการช่วยเหลือตนเองในการส่งข้าวให้กับพนักงานในสนามบินสนามบินเท่าไหร่ โดยน้องชายตนเองตอบไปว่าช่วยเหลือได้เงินวันละ 200 บาท ทางคู่กรณีจึงมีการชักชวนน้องชายไปทำงานด้วยกันโดยให้เหตุผลว่าจะชวนไปทำปล่อยเงินกู้โดยให้เงินค่าจ้างวันละ 500 บาท แต่น้องชายปฏิเสธเพราะให้เหตุผลว่าไม่ได้เดือดร้อนทางด้านการเงินแต่อย่างใด

 

จากนั้นน้องชายตนและคู่กรณีได้มีการไปมาหาสู่กันและมีการพากันไปเลี้ยงอาหารและดื่มกินกัน ซึ่งทางคู่กรณีเป็นคนออกเงินค่าใช้จ่าย ทั้งหมดจำนวน 50,000 บาท ก่อนจะกลับจากร้านอาหารและมีการโอนเงินให้น้องชายจำนวน 20,000 บาท เพื่อให้ไปกดเป็นเงินสดออกมาโดยบอกว่าให้น้องชายนำเงินมาให้คู่กรณีเพียง 15,000 บาท ส่วนอีก 5000 บาทให้เก็บเอาไว้ใช้

 

แต่เมื่อในช่วงเช้าของวันต่อมาคู่กรณีที่หายจากอาการมึนเมา ก็กลับมาหาเรื่องโดยบอกว่าบ้านของตนเองมีการโกงเงินไปจำนวน 50,000 บาท และตามราวีอยู่บ่อยครั้ง

 

โดยจะมีการพกอาวุธมีดดาบมาโวยวายที่หน้าบ้าน และมีการเข้าไปหาเรื่องกันในกลุ่มแชต  LINE ของหมู่บ้าน โดยยังคงมุ่งประเด็นว่าบ้านของตนเองเป็นหนี้จากการโกงเงินไปจำนวน 50,000 บาทและต้องการให้ชดใช้

 

ซึ่งตนเองได้พยายามอธิบายตลอดว่าไม่เคยมีการยืมเงินหรือคดโกงเงินจำนวนดังกล่าวมา แต่เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่คู่กรณีสมัครใจพาน้องชายไปเลี้ยงและดื่มสุรากันเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนที่เป็นเจ้าของบ้าน แต่คู่กรณีก็ไม่ยอมฟังและไม่ยอมเลิกรา

 

คู่กรณียังคงมีการราวีทั้งในตอนกลางวันและตอนกลางคืนอยู่มาเป็นระยะๆ จนเรื่องลุกลามบานปลาย ถึงขั้นต้องมีการเรียกตำรวจเข้ามาช่วยระงับเหตุซึ่งตำรวจของ สน. ดอนเมือง ก็เดินทางมาตามการแจ้งทุกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้

 

โดยมีครั้งหนึ่งตำรวจเดินทางมาระงับเหตุแต่คู่กรณีมีการใช้อาวุธปืนยิงอยู่ภายในบ้านจำนวนเจ็ดถึงแปดนัด ทำให้ตำรวจต้องปิดล้อมและนำกำลังเข้ามาคุมตัวในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นก่อนที่คู่กรณีจะหายตัวไปประมาณสองอาทิตย์

 

ก่อนกลับเข้ามาในหมู่บ้านและเริ่มหาเรื่องตนเองอีกครั้ง ประกอบกับการไม่พอใจที่ถูกไล่ออกจากงานโดยพุ่งเป้าว่าตนเองเป็นคนบอกกับทางบริษัทที่เค้าอ้างว่าทำงานอยู่ แต่ในข้อเท็จจริงการที่เขาพูดในแชต LINE ว่าเขาเป็นพนักงานของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง และบริษัทนั้นติดเงินเค้าอยู่จำนวนหนึ่งล้านบาท เชื่อว่าน่าจะมีคนในหมู่บ้านนำเรื่องไปร้องเรียนกับทางบริษัทดังกล่าวจนนำไปสู่การไล่ออก ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเอง

 

ต่อมาวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมาตนเองพบเจอกับเขาที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งคู่กรณีได้เดินหน้ามาหาเรื่องอีกครั้งและมีการลงมือตบหน้าตนเองหนึ่งครั้งตนเองถือขวดน้ำมันพืชอยู่ด้วยความโมโหจึงตีกลับไปและคู่กรณีก็หัวเราะและพูดหายกันแล้ว ตนเองได้พยามบอกสายตรวจที่เจอกันอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อว่าให้ควบคุมตัวแต่ตำรวจยังไม่ทันได้ควบคุมตัวคู่กรณีก็อ้างว่าไม่มีหลักฐานและหลบหนีไป ตนเองพยายามดำเนินการทางคดีกับทางตำรวจแต่ตำรวจแจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากไม่ใช่เหตุซึ่งหน้า และการทำร้ายร่างกายกันในร้านสะดวกซื้อดังกล่าวตำรวจมองว่าเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาท

 

จนเรื่องบานปลายลุกลามไปจนเมื่อช่วงเช้า 7 มีนาคมที่ผ่านมาคู่กรณีขับรถยนต์กระบะขับเข้ามาถอยพุ่งชนประตูบ้านจนทำให้ประตูบ้าน ล้มลงฟาดกับตัวรถจนได้รับความเสียหาย ทำให้ตนเองจึงตัดสินใจนำเรื่องราวดังกล่าวทั้งหมดเข้าร้องขอความช่วยเหลือต่อสายไหมต้องรอด

 

ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ หรือเอก สานไหมต้องรอด ระบุว่าเบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่าตำรวจของสน. ดอนเมืองก็มีการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในทุกครั้งที่ผู้เสียหายมีการร้องขอ แต่การฟังและดูกล้องวงจรปิดรวมถึงกล้องที่มีการบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ ตนเองตั้งข้อสันนิษฐานว่า คู่กรณีรายนี้อาจจะมีอาการป่วยทางจิตหรือไม่เนื่องจากในบางคลิปที่มีการบันทึกไว้มีการพูดจาไม่รู้เรื่อง  ซึ่งทราบว่าคู่กรณีก็ไม่มีคนพักอาศัยด้วยเช่นกันดังนั้นหากเป็นผู้ป่วยทางจิตจริงและไม่มีผู้ควบคุมดูแล การอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านหรือสังคมแบบนี้อาจจะสร้างความอันตรายให้กับคนอื่นได้จึงอยากขอฝากให้ทางตำรวจสน. ดอนเมือง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือในการพาตัวไปตรวจสอบสภาพจิต หากพบว่าป่วยจริงก็ให้เข้าสู่ขั้นตอนการรักษา ไม่ควรปล่อยให้มากระทำการแบบนี้ แต่หากนำไปตรวจแล้วไม่พบว่ามีอาการป่วยทางจิตแต่อย่างใดก็อยากให้นำไปดำเนินคดีเพื่อป้องกันไม่ให้ก่อเหตุกับผู้เสียหายรายอื่นอีก

  

จากนั้นทีมข่าวช่อง 8 ได้ข้อมูลมาจากคนในหมู่บ้านของนายเอมาว่า ญาติของนายเอ ซึ่งเป็นผู้ไปประกันตัวนายเอมา มีบ้านอยู่ซอยลาดพร้าว 94 จึงทำให้ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านของญาติของนายเอ ภายในซอยลาดพร้าว 94 ทันที แต่เมื่อมาถึงนายเอได้มีการขับรถกระบะ ฟอร์ดเรนเจอร์ สีแดง พุ่งชนรถของญาติจนได้รับความเสียหายด้วยอาการคุ้มคลั่งอย่างหนัก ก่อนจะไปจอดรถกระบะที่ขับมา ไว้บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านญาติ ห่างกันเพียง 50 เมตร

 

ขณะเดียวกันทีมข่าวช่อง 8 ได้พยายามเดินพูดคุยกับนายเอ เพื่อให้นายเอสงบสติอารมณ์ลง แต่ก็ไม่เป็นผล จากนั้นนายเอก็ได้มีการข่มขู่นักข่าวมาไม่ให้บันทึกภาพใด ๆ ทั้งสิ้น

 

และเมื่อนักข่าวยังคงถามเซ้าซี้และยังไม่เอากล้องบันทึกภาพลง นายเอมีการคว้าดาบซามูไร และชักออกมาข่มขู่นักข่าว นอกจากนี้นายเอ ยังมีการโยนขวดโซดาออกจากรถ เพื่อป้องมาให้ใครเข้าไปใกล้ตัว และเมื่อโยนขวดโซดาออกมา นายเอ ก็ทำมือลักษณะยิงปืนใส่นักข่าวเพื่อข่มขู่ อีกทั้งยังเดินเข้าเดินออกร้านสะดวกซื้อ และถือมีดพกขึ้นฟ้าแกว่งไปแกว่งมาอีกด้วย

 

หลังจากนั้นทีมข่าวได้พยายามโทรศัพท์ประสานงานกับเจ้าที่ตำรวจสายตรวจ สน.วังทองหลางให้เข้ามาระงับเหตุ บริเวณจุดดังกล่าว ซึ่งขณะนั้นทางชาวบ้านและพนักงานสะดวกซื้อ ต่างก็วิ่งออกมายังจุดที่ปลอดภัยจากนายเอ เนื่องจากกลัวนายเอคลุ้มคลั่งอาละวาดอีก จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที เจ้าที่สายตรวจ สน. วังทองหลางได้มาถึงที่เกิดเหตุ และพยายามเข้าพูดคุยกับนายเอ แต่นายเอนั้นอยู่ในอาการพูดจาไม่รู้เรื่องวกไปวนมา และพยายามไล่เจ้าหน้าที่ จนเป็นเหตุทำให้เจ้าที่ตำรวจหาจังหวะเหมาะ เดินเข้าไปรวบตัวและต้องมีการล็อกใส่กุญแจมือนายเอไว้ พร้อมเข้าตรวจค้นรถกระบะดังกล่าวทันที

 

ขณะเดียวกันทีมข่าวได้พยายามสอบถามนายเอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายเอพูดสั้นๆกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตนเองถูกโกงเงินจำนวน 1 ล้านบาท และมีเรื่องเครียดสะสมอีกหลายเรื่อง แต่หากอยากรู้อะไรเพิ่มเติม ให้ปลดกุญแจมือของตนที่ตำรวจใส่ไว้ และตนจะบอกทุกอย่าง แต่ทางตำรวจไม่ได้ปลดกุญแจมือให้แต่อย่างไร จึงทำให้นายเอเกิดอารมณ์โมโหพูดจาด่าทอใส่ตำรวจและนักข่าว ก่อนที่ทางตำรวจจะควบคุมตัวขึ้นรถไปที่สน.วังทองหลาง แต่ในขณะที่ควบคุมตัวขึ้นรถนั้น นายเอได้บอกกับทางตำรวจว่า ถ้าไม่มีนักข่าวไปด้วยตนเองจะไม่ยอมไปเด็ดขาด ซึ่งนักข่าวก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้นายเอสงบสติอารมณ์ และบอกว่าจะขับรถตามไปทีหลัง จึงทำให้นายเอยอมขึ้นรถและไปกับตำรวจทันที

 

หลังจากเหตุการณ์ที่นายเออาละวาดภายในซอยลาดพร้าว 94 สงบลง ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายชำนาญ อายุ 63 ปี น้าชายนายเอ เผยว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 15.00 น.ที่ผ่านมา หลานชายได้โทรศัพท์มาหาตน เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรให้ฟังว่า จะให้ช่วยเรื่องอะไร ด้วยความที่ตนรู้ว่า หลานชายนิมีนิสัยอย่างไร ตนจึงได้ปฏิเสธไป และมีการข่มขู่หลานชายประมาณว่า “ ถ้าหากมา จะเอาตำรวจมาจับ” ซึ่งหลานชายก็ได้มีการตอบกลับมาว่า “มาจับเลยมาจับเลย อยากเจอตำรวจ”

 

จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน หลานชายได้ขับรถกระบะมาถึงที่บ้านตน ก่อนจะมีการขับรถพุ่งเข้ามาชนรถกระบะของตนที่จอดอยู่บริเวณหน้าบ้านทันที จนเป็นเหตุทำให้รถได้รับความเสียหายจากนั้นหลานชาย ก็ได้มีการขับรถกระบะไปจอดบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ห่างจากบ้านตอนประมาณ 50 เมตร ซึ่งขณะนั้นตนสังเกตเห็นหลานชายมีอาการคุ้มคลั่งอย่างหนัก พูดจาไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งมีนักข่าวมาถึงที่เกิดเหตุ

 

และจากเหตุการณ์ที่หลานชายอาละวาดหนัก ตนคาดว่าหลานชายมีความเครียดสะสมหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคประจำตัวที่หลานเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 3 จนถึงขั้นต้องสูบกัญชา เพื่อบรรเทาอาการปวด และก็สูบเยอะจนถึงขั้นมีอาการหลอนอย่างหนัก เรื่องคดีที่ลูกสาวของหลานชายถูกพรากผู้เยาว์ จนเป็นเหตุทำให้หลานชายไปทำร้ายคู่กรณีที่พรากผู้เยาว์ลูกสาวจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เรื่องที่หลานชายถูกโกงจำนวนเงินหนึ่งล้านบาท และเรื่องถูกไล่ออกจากงาน ซึ่งประเด็นพวกนี้ทางญาติรู้กันหมด

 

ในส่วนประเด็นที่ตนตัดสินใจประกันตัวหลานชายออกจากศาลจากกรณีที่หลานชายไปก่อกวนเพื่อนบ้านนั้น ซึ่งก่อนที่หลานชายจะถูกพิพากษานั้น

 

ตนแจ้งไปทางกรมราชทัณฑ์ ให้มีการตรวจสอบสุขภาพจิตหลานชาย และเมื่อนำหลานชายไปตรวจสุขภาพจิตแล้ว ทางกรมราชทัณฑ์ประเมินแล้วไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด จึงอนุญาตให้ทางญาติประกันตัวออกมา

 

โดยในขณะที่หลานชายได้ประกันตัวออกมานั้น ตนทราบมาว่าหลานชายได้ได้มีการไปก่อกวนเพื่อนบ้านอีก ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จึงตัดสินใจจะนำหลานชายไปประเมินสุขภาพจิตที่โรงพยาบาลศรีธัญญาเอง ซึ่งกำหนดการใบนัดการตรวจสุขภาพจิต คือ วันที่ 1 มิถุนานี้ แต่ก็มาเกิดเหตุการณ์นี้ก่อน

 

และประเด็นที่หลานชายไปก่อกวนเพื่อนบ้านนั้น ส่วนตัวตนก็ไม่ทราบข้อมูลอะไรมาก รู้เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องเงินที่ ก่อนหน้านี้หลานชายอาจจะมีการให้ยืม หรือ ให้คู่กรณีไปแบบฟรี ๆ ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ตนไม่แน่ใจ แต่ตนคาดว่า หลังจากหลานชาย หาเงินผู้เสียหายไปนั้นอาจจะเงินไม่พอใช้จึงจำเป็นต้องไปทวงเงินคืน แต่ทางผู้เสียหายไม่ได้มีการคืนเงินให้ จึงเกิดเป็นปัญหา

 

นอกจากนี้ ทางญาติเครียดถึงกระทั่งนำเรื่องราวดังกล่าวไปให้หมอดูทำนาย แต่ปรากฏว่า ทางหมอดูได้บอกกับญาติว่า หลานชายตนโดนคนทำของใส่ ซึ่งต้องมีการแก้ของโดยให้แม่ของหลานชายไปบวชชีพราหมณ์ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนี้แม่ของหลานชายอยู่ในระหว่างการบวชชีพราหมณ์

 

ทั้งนี้ตนต้องการให้เจ้าที่ตำรวจนั้นไปเอาตัวหลานชายตนไปรักษา และส่วนตนก็ไม่ต้องการให้หลานชายออกมาสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นอีก

เพื่อนบ้านมหาภัย! ตร.ระงับเหตุเจอปากแจ๋วใส่-นักข่าวหนีกระเจิงถูกชักดาบขู่