จากกรณีที่เกิดเหตุสาวประเภทสองรวมตัวกันนับพันคน ภายในซอยสุขุมวิท 11/1 เนื่องจากมีสาวประเภทสองชาวไทยถูก สาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์รุมทำร้าย 20 ต่อ 6 จนเกิดเหตุชุลมุนขึ้น

 

ขณะที่ความคืบหน้าในทางคดีในช่วงบ่าย พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ได้ควบคุมตัวนายมิรันด้า และแคสโตร 2 กะเทยชาวฟิลิปปินส์ ที่รุมทำร้าย 6 กะเทยไทย เมื่อคืนวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา หรือคืนก่อนเหตุการณ์ชุลมุน ไปส่งฟ้องต่อศาลแขวงปทุมวัน ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย

 

ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในระหว่างที่ตำรวจควบคุมตัวออกจากห้องสืบสวน แคสโตร ได้ยกมือไหว้ขอโทษ บอกว่าฉันอยากจะขอโทษชาวไทย ฉันรักชาวไทยและฉันรักชาวฟิลิปปินส์ ฉันขอโทษทุกคนที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ฉันแค่เข้าใจผิด แต่ถือว่าเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับพวกเรา ฉันหวังว่าทุกอยากจะโอเค ก่อนจะขึ้นรถตู้ตำรวจและเดินทางออกไปจาก สน.ลุมพินี

 

ในขณะที่ตำรวจ ระบุว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหาทุกอย่างว่าก่อเหตุจริง จึงต้องส่งฟ้องต่อศาลแล้ว ซึ่งคดีนี้ไม่ได้เข้าสู่พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ย เนื่องจากฝั่ง ผู้เสียหายที่เป็นกะเทยไทย ไม่ได้เดินทางมาและแจ้งความประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการตำรวจจำเป็นต้องส่งสองผู้ต้องหาคนนี้ส่งศาลแขวงปทุมวันตามเวลา แต่เนืองจากผู้ต้องหาชาวฟิลิปปินส์ ตำรวจต้อง ประสานไปยังตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พิจารณาและควบคุมตัวไปไว้ห้องกักตัวของ ตม. เพื่อ ผลักดันกลับประเทศต้นทางเนื่องจากมีการกระทำความผิดในคดีอาญาและอาจจะพิจารณาขึ้นแบล็กลิสต์ผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้หรือไม่

 

เปิดใจน้องแชมป์ หนุ่มไทยกล้ามโต ที่ถูกตำรวจจับกุมในศึกกอบกู้ศักดิ์ศรีของกะเทยไทย เจ้าตัวลั่นทำไปเพื่อกะเทยไทยทุกคน

 

วันนี้นายณัฐพร อายุ 29 ปี หรือน้องแชมป์ ได้เปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุตนเองได้ดูไลฟ์สดในช่วงตีหนึ่ง เห็นว่าเหตุการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย เลยตัดสินใจมาดูด้วยตัวเอง ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะลงมือ แต่ด้วยพฤติกรรมของกะเทยปินส์ ค่อนข้างดูถูกศักดิ์ศรีของกะเทยไทย ก็เลยรู้สึกโกรธแค้น เคืองใจแทน ก็เลยก่อเหตุไปแบบเต็มๆ

 

แบ่งออกเป็นสี่เหตุการณ์ สองเหตุการณ์คือเข้าไปช่วยกะเทยไทย ที่ปีนขึ้นไปแล้วตกลงมาที่พื้น ตนเองเข้าไปช่วยไว้ และมีกะเทยไทยที่ชื่อพิงค์ ที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นกะเทยปินส์ ถูกรุมตี ตนเองก็ไปช่วยไว้

 

เหตุการณ์ที่สาม คือตนเองได้พุ่งเข้าไปทำร้ายร่างกายกะเทยปินส์ ซึ่งตำรวจเห็นว่าไม่สามารถคุมตัวเองไว้ได้ เพราะพลังเยอะ จึงจับใส่กุญแจมือ เอาขึ้นรถไปก่อน หลังจากนั้นตำรวจก็นำกะเทยปินส์ ขึ้นมาบนรถ ตนเองก็ยังอารมณ์ค้าง ก็เลยทำร้ายร่างกายไปอีก 3 ครั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของพี่กะเทยชาวไทยทุกคน

 

ซึ่งสิ่งที่ตนเองทำ ตนเองยอมรับผิด และให้กระบวนของกฎหมายได้ทำงาน หรือจะไกล่เกลี่ยกันยังไงก็ได้ แต่ต้องเป็นธรรม ส่วนการเรียกร้องค่าเสียหาย ต้องเรียกร้องอย่างเหมาะสม ถ้าเหมาะสมก็พร้อมจ่าย หลังจากนี้ก็พร้อมไกล่เกลี่ย เข้าใจว่าทางกะเทยปินส์ก็ไม่อยากให้เป็นคดีความกันต่อไป

 

ส่วนเรื่องของคำว่าฮีโร่ ตนเองไม่ใช่ฮีโร่ อยากให้ใช้คำว่าฮีโร่กับคนไทยที่เข้าไปช่วยกัน และเหล่า LGBTQ ของไทยทุกๆคน จะเหมาะสมกว่า สุดท้ายนี้ อยากฝากบอกกับกะเทยปินส์ คืออยากได้คำขอโทษ ทุกคนที่เข้ามาในไทย มีสิทธิเท่าเทียมกัน และไม่ควรมาลุกล้ำ หรือดูถูกคนไทย

 

น้องแชมป์ ยังแสดงความรู้สึกถึงกฎหมายของเมืองไทย ว่ากฎหมายของไทย ดูเข้มข้นกับคนไทยมาก ตนเองก่อเหตุแล้วถูกจับทันที แต่กฎหมายไทยดันไปอ่อนไหวกับชาวต่างชาติ ก่อเหตุแล้วก็ยังจับไม่ได้ ตอนนี้มีกะเทยปินส์บางคนยังไม่ได้รับโทษ เพราะฉะนั้นตำรวจต้องไปล่าตัวคนที่เหลือมารับโทษให้ได้

 

หลังให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว นายแชมป์ ได้ถอดเสื้อโชว์กล้ามยืนยันว่าเป็นตัวจริง ทั้งยังโชว์ลายสักยันต์บนแผ่นหลัง จาก 3 สำนัก ประกอบด้วย อาจารย์เทียม วังหนัง , อาจารย์โบ๊ต วัดบางพระ , และอาจารย์เอก วัดบางพระ ซึ่งนายแชมป์ บอกว่า ตัวเองมีความเชื่อและชื่นชอบเรื่องการสักยันต์ โดยยันต์ที่ตัวเองสักก็เป็นยันต์ไทยทั้งหมด

 

15.00 น. นายแชมป์ ที่ถูกดำเนินคดีข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย เกลี่ย กับคู่กรณี กะเทยฟิลิปปินส์ที่ถูกรุมเมื่อเข้ามืดวันที่ 5 มี.ค.ที่กะเทยไทยไปรวมตัวกับเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรี ที่ซอยสุขุมวิท 11

 

โดยนายแชมป์ นั่งรอคู่กรณีกะเทยปินส์ นานกว่า 1 ชั่วโมง เพราะอยู่ในการแลของสถานเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย เจ้าหน้าที่สถานทูต จึงพาตัวมาถึงที่ สน.ลุมพินี ในเวลา 16.15น. และพบว่า บริเวณลำคอของกะเทยปินส์ มีร่องรอยบาดแผลในหลายจุด และขอบตาบวมเขียว ซึ่งกะเทยมีสีหน้านิ่งเฉย และเดินเข้าไปในห้องประชุม เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ย

 

โดยมีคนกลาง ทั้งเจ้าหน้าที่สถานทูตฯ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง/ พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล5 / สมาคมไกล่เกลี่ย และสมาคมล่ามแห่งประเทศไทย

 

โดยใช้เวลาในการไกล่เกลี่ยนานกว่า 1 ชั่วโมง พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ระบุว่า จากการเจรจาวันนี้ เป็นความประสงค์ของผู้เสียหาย ซึ่งได้รับการประสานกับเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ย ของกระทรวงยุติธรรมมาร่วม และเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการเจรจาตามความประสงค์ทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งผู้บาดเจ็บไม่ได้ติดใจดำเนินคดี และนายแชมป์ ก็แสดงความรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล 10,000 บาท รวมถึง ผู้เสียหายกะเทยฟิลิปปินส์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในคืนวันที่ 4มี.ค.ด้วยสำหรับความเห็นแพทย์ นั้น ให้ผู้เสียหายชาวฟิลิปปินส์ รักษาตัว 14 วัน เพราะบาดเจ็บบริเวณใบหน้าและลำตัว

 

ส่วนกะเทยฟิลิปปินส์ 2 รายที่ถูกดำเนินคดีและส่งฟ้องศาลนั้นหลังจาก กะเทยไทย 6 คนที่เป็นผู้กล่าวหา ไม่มีการไกล่เกลี่ย จึงได้ส่งฟ้องศาล และศาลก็สั่งปรับ5,000บาท หลังจ่ายค่าปรับแล้ว ก็จะส่ง ตม.เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ ส่วนผู้กระทำความผิดอีก 1 คนที่พิสูจน์ทราบตัวได้แล้ว อยู่ระหว่างเตรียมออกหมายจับ และจะต้องมีการขยายผลเพื่อพิสูจน์ทราบตัวบุคคลเพิ่มเติมอีกว่า มีใครที่ร่วมกันกระทำความผิดอีก

 

ด้าน ไอวี่ หรือ Mr. JAYMAR TIMWAT กะเทยฟิลิปปินส์ ผู้บาดเจ็บ บอกว่า

 

เขาอยากจบปัญหาทุกอย่าง และอยากมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนกันจะดีกว่า ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่แค่ช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทำตัวไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น โดยหลังจากนี้จะเดินทางกลับประเทศฟิลิปปินส์ทันที และยังไม่มีแพลนจะเดินทางกลับมาเที่ยวที่ประเทศไทย

 

ขณะที่ นายแชมป์ บอกด้วย ส่วนตัวแชมป์ ขอบคุณผู้เสียหายฟิลิปปินส์ และหากจบลงแบบนี้ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และตนเองก็มีค่ารักษาพยาบาลให้ 10,000 บาท เขาไม่ได้เรียกร้อง แต่เราอยากให้เอง

 

เบื้องต้นได้ขอโทษผู้เสียหาย เพราะสิ่งที่ทำเป็นคือความรุนแรง และตอนนั้นทำลงไปด้วยอารมณ์ แต่พอมาคุยกันแล้วความรุนแรงไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไปไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการใช้ความรุนแรง พอจบแบบนี้ก็ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น แชมป์ ยังฝากบอกอีกว่า “anything come back to Thailand we are welcome to Thailand”

 

กรณี ศึกกะเทย ที่สุขุมวิทซอย 11 เมื่อวันที่ 5 มี.ค.67 นั้น แล้วเกิดมีการแชร์คลิปปิงลี่ รอยยิ้มพิฆาต นั้น "ปิงลี่ เฟมัส" หรือ ลาภิศ อายุ 34 ปี

 

ล่าสุดวันนี้ ทีมข่าวช่อง 8 มีโอกาสพูดคุยกับ ปิงลี่ โดย บอกว่า ที่ไปนั้นไม่มีอะไรเลย ตนไปดูเหตุการณ์ ไปหาทางประนีประนอมร่วมกับตำรวจ เพราะตำรวจไม่มีหนทางที่จะสงบศึกได้

 

แล้วก็ที่เห็นว่าเป็นรอยยิ้มนั้น ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เดินมาเฉยๆ ส่วนผมในมือนั้น มีคนเอามาให้ ไม่มีอะไรจริงๆ ทั้งนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นแรงเชียร์แรงใจวันนั้นคือรู้เลยว่าพวกเราสามัคคีกันมาก และเรียกว่าไม่มีปรากฏการณ์ไหนที่ชัดเจนมากขนาดนี้ที่กะเทยจะรวมใจได้ และรู้สึกว่าไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีคนสนใจและให้ความสนใจให้กำลังใจเราขนาดนี้

ส่วนพฤติกรรมที่เกิดเหตุในวันนั้น ตนนั้นไม่ได้ทำอะไร แค่ไปดูเฉยๆ และสามารถเป็นไทยมุงได้ ไม่สนับสนุนความรุนแรง และถ้าใครเห็นก็ใช้วิจารณญาณด้วย ส่วนเรื่องคดียังไม่จบต้องไกล่เกลี่ยและสอบสวนหาความจริง ซึ่งมีอีกหลายอย่างมาก ไม่ใช่เรียกว่าตบแล้วจะจบ

 

ทั้งนี้กรณีที่ตนไปแล้วแต่งเสื้อชมพู คาดผมและนุ่งกางเกงมวยนั้นคือ ก็ไม่มีอะไรพร้อมแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย เตรียมพร้อมวิ่งเฉยๆ ใส่กางเกงมวยแล้วสบายดี

 

จบด้วยดี! กอดมิตรภาพจบศึกกะเทย 2 ชาติ "เทยปินส์" ยกธงขาวไหว้ขอโทษคนไทย