จากกรณีสาวประเภทสองรวมตัวกันนับร้อยคน ภายในซอยสุขุมวิท 11/1 เนื่องจากมีสาวประเภทสองชาวไทยถูก สาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์รุมทำร้าย 20 ต่อ 6 นั้น

 

ด้าน นายอ้น (นามสมมติ) ชาวไทยหนึ่งในผู้ที่ร่วมก่อเหตุ ออกมาเปิดเผยหลังสอบปากคำเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ยอมรับว่าเป็นผู้ต้องหาเพียงคนเดียวที่ถูกดำเนินคดีในฐานความผิดร่วมกันทำร่างร้ายร่างกายผู้อื่น โดยได้ทำเรื่องประกันตัวเป็นที่เรียบร้อย ด้วยหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 20,000 บาท ซึ่งเป็นเงินของตนเองไม่ได้มีการเปิดรับบริจาคดังที่มีข้อกล่าวอ้างมา ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องของการดำเนินคดี เพราะเป็นไปตามกฎหมาย

 

แต่รับว่ากังวลเรื่องคู่กรณี ไม่ถูกดำเนินคดีและบางส่วนได้มีการเดินออกนอกไปประเทศไปแล้ว

 

นายอ้นได้เล่าย้อนไปในวันที่เกิดเหตุว่า ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่รู้ผ่านทางโซเซียลว่ามีการทำร้ายสาวประเภทสองไทย หลังจากดูคลิปแล้วรู้สึกมีอารมณ์ร่วมจึงเดินทางไปที่จุดเกิดเหตุ โดยทันทีที่ไปถึงก็รู้มีแรงฮึกเหิมในฐานะคนไทยที่เห็นสาวประเภทสองจำนวนมากมารวมตัวกัน ซึ่งในตอนแรกตนเองอยู่ในวงนอกซึ่งในจังหวะนั้นมีความชุลมุนเกิดขึ้น ตนจึงได้เบียดตัวเองเข้าไปผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจจากนั้นเมื่อถึงตัวคู่กรณี ด้วยความโมโหจึงประเคนหมัดและเข่าเข้าไป

 

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเข้ามาควบคุมสถานการณ์ และได้มีการล็อกคอตนออกไปจากนั้นนำตัวขึ้นรถเพื่อเดินทางมายังสน.ลุมพินี ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการคุมตัวด้วยการใส่กุญแจมือ ส่วนตัวมองว่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จับตนมาเพียงคนเดียวเพราะมีสรีระที่เป็นผู้ชายดูกำยำ และแรงเยอะ ต่างจากบุคคลอื่นที่เป็นสาวประเภทผมยาว และสรีระคล้ายผู้หญิง ซึ่งบนรถคันนั้นก็มีคู่กรณีนั่งอยู่ และได้มีการพูดคุยกัน ทางฝั่งของตนเองได้ท้าถามฝั่งเค้าว่าทำไมถึงทำแบบนี้กับเพื่อนของตนเองแต่ทางฝั่งคู่กรณีไม่มีสติและตอบไม่เป็นคำ

 

ซึ่งยังเผยอีกว่า รู้สึกแปลกใจที่ตนเองเป็นคนไทยถูกดำเนินคดีและถูกแจ้งข้อกล่าวหาแต่ทางฝั่งคู่กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มีการมาแจ้งข้อมูลหรือแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ

 

จากนั้นทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนางปุ้ย 1 ใน 6 ที่ถูกกลุ่มกระเทยฟิลิปปินส์ทำร้าย 20-6 โดยนางปุ้ยได้เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตอนนั้นได้เดินทางกลับจากสถาบันแห่งหนึ่ง ซึ่งได้บังเอิญเจอกับนางอัง เพื่อนสาวคนสนิทพอดี จึงเดินกลับบ้านพร้อมกันภายในซอยสุขุมวิท 11 และเมื่อเดินมาเรื่อยๆก็เจอกับคุณไวน์และกลุ่มเพื่อน รวมกันทั้งหมด 6 คน จนกระทั่งมาถึงจุดเกิดเหตุบริเวณปากซอยสุขุมวิท 11 ก็เจอกับกลุ่มกระเทยฟิลิปปินส์ที่มีมากกว่า 20 คน และเมื่อพูดคุยกันเรื่อยๆ กลุ่มของกะเทยฟิลิปปินส์ก็กรูกันเข้ามาทำร้ายกลุ่มของตนทันที และในระหว่างที่มีการชุลมุนกันเกิดขึ้น กลุ่มของกะเทยฟิลิปปินส์ ก็ได้ฉกกระเป๋าสะพายของตนไป ซึ่งภายในกระเป๋ามีบัตรต่างๆ และเงินสดมูลค่า 10,000 บาท อยู่ภายในกระเป๋า

 

ซึ่งเมื่อเหตุการณ์สงบลงและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาระงับเหตุ ตนก็ได้บอกกับทางตำรวจว่ากระเป๋าสะพายของตนนั้น ถูกกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ขโมยไป ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาตนไปที่โรงแรมของกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ ที่อยู่ภายในซอยสุขุมวิท 11 และเมื่อไปถึงก็พบว่ากระเป๋าของตนได้อยู่กับกลุ่มกะเทยของฟิลิปปินส์จริงๆ โดยทางกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ก็ยอมคืนกระเป๋ามาให้ตน แต่เมื่อเปิดกระเป๋ามาแล้ว กลับพบว่าเงินสดของตนนั้น เหลือเพียง 8,000 บาทเท่านั้น ซึ่งหายไป 2,000 บาท ส่วนเหตุการณ์ที่ตนถูกกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์รุมทำร้าย ตนก็ไม่เคยรู้จักกับกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์มาก่อน และก็รู้สึกว่าทางกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ ไม่มีการให้เกียรติคนไทยเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่มาอาศัยประเทศไทยอยู่แท้ๆ ส่วนเรื่องการแจ้งความตอนนี้ตนก็จะเข้าไปแจ้งความเพิ่มเติมในข้อหาลักทรัพย์ และยืนยันจะเอาเรื่องถึงที่สุดอย่างแน่นอน

 

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ของกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง1 ได้มีการลงพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวเพื่อว่าเป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง หรือไม่ รวมถึงตรวจสอบบุคคลที่เข้าพักว่าอยู่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือ  โอเวอร์สเตย์หรือไม่  โดยเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล  โดยหลังจากตรวจสอบข้อมูลแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็จะส่งมอบข้อมูลให้สน.ลุมพินี พิจารณาดำเนินการต่อไป

 

ทั้งนี้ยังมีรายงานด้วยว่าจากข้อมูลการสืบสวนของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พบว่ามีชาวฟิลิปปินส์พักอาศัยอยู่ที่โรงแรมดังกล่าวประมาณ 10 คน และยังมีที่พักอาศัยกระจายอยู่บริเวณโดยรอบอีกจำนวนหลายคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะทยอยลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด

 

ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า ด้านพ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคลผู้ก่อเหตุว่าเป็นใครบ้าง โดยเป็นอำนาจของสน.ลุมพินีในการพิสูจน์ทราบบุคคลจากกล้องวงจรปิดและภาพวิดีโอทั้งหมด จึงจะสามารถตรวจสอบการเข้าออกประเทศได้ว่าบุคคลดังกล่าวหลบหนีออกจากประเทศไทยไปแล้วหรือไม่ โดยยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดไว้แล้ว และหากผู้ก่อเหตุออกนอกประเทศไปแล้วก็มีขั้นตอนการดำเนินการ เช่นการออกหมายแดง หรือ หมายน้ำเงินต่อไป

 

ทั้งนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้ามาในไทยแบบวีซ่านักท่องเที่ยว แต่บางส่วนก็อาจลักลอบทำงานหลังเข้ามาแล้ว ซึ่งทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเอง ก็ต้องไล่ตรวจสอบและจับกุมเป็นรายกรณีเมื่อพบ แต่ในส่วนที่สื่อมวลชนรายงานว่ามีสถานที่ ที่ LGBTQ+ เข้าไปทำงาน หรือนัดพบเพื่อค้าประเวณีนั้นและยืนยันว่าไม่มีสถานที่ลักษณะดังกล่าวแน่นอน สื่อมวลชนสามารถไปตรวจสอบได้เลย

 

ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางมายังจุดเกิดเหตุบริเวณซอยสุขุมวิท 11 โดยบรรยากาศล่าสุดภายในซอยยังคงมีประชาชนออกมาใช้ชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับนางอภิญญา อายุ 50 ปี เจ้าของร้านสุนทรีมาสสาจ ที่สาวประเภทสองมารวมตัวกันบริเวณร้าน จนหน้าร้านนั้นเกิดความเสียหายอย่างหนัก โดยนางอภิญญา เล่าให้กับทีมข่าวช่อง 8 ฟังว่า เมื่อวานประมาณ 22.00 น.ตนเดินทางกลับบ้านไปแล้ว จากนั้นช่วงประมาณเที่ยงคืน มีน้องในร้านนวดตนได้ส่งคลิปวิดีที่ถ่ายเอาไว้ที่หน้าร้านของตน เป็นเหตุการณ์ที่กะเทยไทยจำนวนมหาศาล เดินทางมาปิดล้อมกะเทยฟิลิปปินส์ที่เคยมีเรื่องกันเมื่อวัน 3 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยภายในซอยไม่มีช่องว่างให้เดินเลย ซึ่งตนก็บอกกับน้องในร้านนวดของตนให้ดูแลตัวเองดีๆ ขอให้ปลอดภัย

 

จากนั้นเวลาประมาณตี 4 น้องในร้านนวดของตน ก็โทรมาหาอีกรอบ โดยบอกว่าตอนนี้หน้าร้านของตนพังยับเยินหมดแล้ว ซึ่งตนก็เปิดกล้องวจป.บ้านหลังดูก็พบว่าหน้าร้านของตนพังยับเยินจริงๆ จึงรีบออกบ้านมาที่ร้านนวดของตนทันที และเมื่อมาถึงของทุกอย่างบริเวณหน้าร้านนวดของตน ทั้งเก้าอี้ โต๊ะกินข้าว กระถางต้นไม้ รวมไปถึงป้ายไฟร้าน ก็พังไม่มีชิ้นดี เบ็ดเสร็จรวมมูลค่าความเสียหายกว่า 15,000 บาท ซึ่งเมื่อตนเห็นเช่นนี้จึงเดินไปถามกลุ่มกะเทยที่ยังหลงเหลืออยู่ว่าพอจะช่วยเหลือหรือจะช่วยชดใช้ค่าเสียหายอะไรได้บ้าง แต่ก็ไม่มีใครตอบ

 

ส่วนกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ที่มีเรื่องกับกะเทยไทย ตนก็เห็นเดินผ่านไปมาที่หน้าร้านของตนบ่อยมากแบบไม่ซ้ำหน้ากันเลยสักวัน สุดท้ายตนก็ขอให้กลุ่มกะเทยทั้งหมด ที่มารวมตัวกันที่หน้าร้านนวดของตน ออกมาช่วยเหลือชดใช้ค่าเสียหายที่ร้านนวดของตนด้วย เพราะเสียหายสมควร อีกทั้งร้านอื่นๆไม่มีใครได้รับผลกระทบเลย มีแต่ร้านตนเท่านั้นที่กะเทยมาร่วมตัวกันแล้วพังหน้าร้านตนจนพังยับเยิน

 

ถัดมาทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวจป.ที่สามารถจับภาพเหตุการณ์ขณะที่กลุ่มกะเทยทั้งหมดและเจ้าหน้าที่ตำรวจ มายืนรวมกันบริเวณหน้าร้านสุนทรีมาสสาจ จนเกิดความเสียหายอย่างหนัก

 

ต่อมา 03.57.04 น. ขณะที่พนักงานร้านนวดนั่งอยู่ร้านของตนเองเพื่อรอเหตุการณ์สงบและจะกลับบ้าน และเมื่อได้ยินกลุ่มกะเทยทะเลาะกันอย่างรุนแรงจึงยืนดูสถานการณ์ จากนั้นเวลา 03.58.38 น.จะเห็นกลุ่มกะเทยทั้งหมดมายืนรวมตัวและยืนทะเลาะกันหน้าร้านนวดสุนทรีมาสสาจ กันอย่างมหาศาล

 

ถัดมาเวลา 04.14.52 น.เมื่อเหตุการณ์สงบลง บริเวณหน้าร้านนวดสุนทรีมาสสาจ ก็มีสภาพความเสียหายอย่างหนัก โดยมีคนในร้านนวดเดินมาดูสภาพความเสียหาย

 

เปิดใจ "หนุ่มไทย" ฮีโร่ในคืนวันกะเทยผ่านศึก "เทยไทย" สุดแสบส่งซิกก่อนรุมตบ "เทยปินส์" น่วม