เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 3 มีนาคม 2567 ขณะที่ ร.ต.อ.ถิรโยธิน ทรัพย์สิน รอง สวป.สภ.เมืองอุดรธานี นำกำลังอกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ภ.จว.อุดรธานี ว่ามีเหตุหนุ่ม สปป.ลาว ขอความช่วยเหลือน้องสาวถูกนายจ้างกักขังไว้ในบ้านหลังหนึ่ง อยู่ภายในซอยโพนพิสัย 2 ถ.โพนพิสัย ต.หมากแข้ง เขตเทศบาลนครอุดรธานี จึงรายงาน พ.ต.อ.พัฒนวงศ์ จันทร์พล ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี และ พ.ต.ท.ชัยรัตน์ ประสารพันธ์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองอุดรธานี ก่อนนำกำลังตำรวจสายตรวจอินทรีย์ รุดตรวจสอบให้การช่วยเหลือ

 

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูน 2 ชั้นหลังใหญ่ มีกำแพงรั้วรอบขอบชิด พบนายสมชาย อายุ 25 ปี ชาว แขวงจำปาสัก สปป.ลาว ยืนอยู่ริมถนนบริเวณหน้าบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งเป็นบ้านนายจ้างของน้องสาว พบว่าประตูรั้วหน้าบ้านล็อก โดยมีหญิงสาวชาวลาว ยืนร้องไห้ขอความช่วยเหลือว่า โดนนายจ้างที่เป็นอดีตหมอ ลวนลามและพยายามอนาจารอยู่บ่อยครั้ง

 

ขณะที่ตำรวจได้กดกริ่งที่ประตูรั้วหน้าบ้าน ก็ไม่มีใครออกมาเปิด จึงได้แนะนำให้หญิงสาวชาวลาว ทราบชื่อภายหลังคือ น.ส.แพรวา อายุ 18 ปีเศษ ปีนกำแพงรั้วข้างบ้านออกมา โดยส่งกระเป๋าเดินทางที่ใส่เสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวออกมาให้ตำรวจ ก่อนจะปีนกำแพงรั้วสูงประมาณ 2.5 เมตร ออกมาอย่างปลอดภัย ตำรวจจึงนำตัวสองพี่น้องชาว สปป.ลาว มาสอบปากคำที่โรงพัก ส่วนนายจ้างไม่ยอมโผล่หน้ามาแสดงตัวและชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

 

ต่อมา พ.ต.อ.พัฒนวงศ์ จันทร์พล ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.ท.ปรีชา ประดิษฐ์ศิลป์ รอง ผกก.ตม.จว.อุดรธานี พ.ต.ท.ชัยรัตน์ ประสารพันธ์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองอุดรธานี ร.ต.ท.หญิง วิลาสินี อาษานาม รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี และตำรวจท่องเที่ยว จ.อุดรธานี ร่วมกันสอบปากคำ นายสมชาย พี่ชาย และน.ส.แพรวา น้องสาว ที่ห้องปฏิบัติการ 191 สภ.เมืองอุดรธานี ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมกับตรวจสอบหนังสือเดินทาง และตรวจสอบเอกสารในการจ้างงานตำแหน่งงานบ้าน พบว่าเดินทางมาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้ง 2 คน

 

สอบสวนนายสมชาย พี่ชาย เล่าว่า ตนเป็นพี่ชายต่างบิดาของ น.ส.แพรวาฯ ที่โทรศัพท์ไปหาแม่ที่ทำงานอยู่ที่ กทม. เพื่อขอความช่วยเหลือว่าถูกนายจ้างซึ่งเป็นอดีตหมอที่เกษียณแล้ว ลวนลามและพยายามอนาจาร ก่อนที่แม่ตนจะโทรมาบอกตน ให้มาดูน้องสาวที่ทำงานเป็นแม่บ้านหลังดังกล่าว ส่วนตนทำงานเป็นช่างเชื่อมเหล็กอยู่ที่ จ.นครสวรรค์ หลังทราบเรื่อง จึงได้นั่งรถโดยสารมาหาน้องสาว และเดินทางมาถึงช่วงเช้าวันนี้

 

“พอมาถึงอุดรธานี ตนได้เปิดห้องพักใกล้กับบ้านนายจ้าง ก่อนคุยกับน้องสาวผ่านทางไลน์ว่าตอนเย็นวันนี้น้องสาวจะคุยนายจ้างก่อนจะลาก่อน พร้อมกับขอเงินเดือนที่ยังไม่จ่าย 1 เดือน แต่นายจ้างไม่ยอม และปิดล็อกประตูบ้านไม่ให้น้องสาวตนหลบหนี น้องสาวจึงได้วิ่งออกมาร้องไห้อยู่หน้าบ้าน นายจ้าง ยังตามมาค้นกระเป๋าเสื้อผ้าของน้องสาว และไม่ยอมเปิดประตูให้น้องสาวออกมา กระทั่งค่ำตนจึงตัดสินใจโทรขอความช่วยเหลือจากตำรวจ”

 

น.ส.แพรวา ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนมาทำงานเป็นแม่บ้าน พร้อมกับดูแลคุณย่าวัย 85 ปี หรือแม่ของนายจ้างที่เป็นอดีตหมอมาได้ 6 เดือน ได้เงินเดือน 1 หมื่นบาท เริ่มงานในเดือนแรกก็ถูกนายจ้างลวนลามและพยายามอนาจาร ในลักษณะเข้ามากอดจูบลูบไล้ ทำให้ตนทนไม่ได้เพราะนายจ้างพยามยามทำแบบนี้เรื่อยมาติดต่อกันหลายครั้ง จึงโทรปรึกษาแม่และแฟนหนุ่มชาวลาวด้วยกัน เพราะตนทนไม่ได้ในพฤติกรรมของนายจ้างคนนี้ ก่อนที่พี่ชายจะเดินทางมาช่วยเหลือในวันนี้

 

“นายจ้างฉวยโอกาสตอนที่ตนพาคุณย่าเข้าไปอาบน้ำ นายจ้างจะเข้าไปหาในห้องนอน และพยามลวนลาม พอตนไม่ยอมและปฏิเสธ พร้อมกับต่อว่านายจ้าง เขาก็จะพูดว่าหยอกเล่นเฉยๆ ตนพยายามจะขอลาออกไปทำงานที่อื่น แต่นายจ้างไม่ยอม และไม่เซ็นสัญญาเลิกจ้างให้ ซึ่งนายจ้างขู่ว่าหากออกไปหรือหลบหนีไป ตนจะมีความผิดสัญญาตามกฎหมาย จึงทำให้ตนทนอยู่มาถึง 6 เดือน ก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะขาดในวันนี้”

 

ด้าน พ.ต.อ.พัฒนวงศ์ จันทร์พล ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะให้พนักงานสอบสวนหญิง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ พมจ.อุดรธานี ทำการสอบปากผู้เสียหายในคดีนี้ ก่อนที่จะออกมาหมายเรียกนายจ้างที่ถูกกล่าวหา “กระทำอนาจาร” หลังได้สอบปากคำหญิงสาวชาวลาวที่ถูกนายจ้างลวนลาม และกระทำอนาจาร เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม-ธันวาคม แล้วหยุดไปช่วงหนึ่ง เพราะน้องเขาไม่ยินยอม แล้วโทรแจ้งพ่อแม่ที่อยู่ สปป.ลาว เพื่อขอความช่วยเหลือ

 

“กระทั่ง 2-3 วันที่ผ่าน ก็ถูกกระทำอนาจารอีก ทำให้ทนไม่ไหว จึงได้พูดคุยกับนายจ้างเพื่อขอลาออก แต่นายจ้างไม่ยอม แม่ก็เลยโทรไปบอกลูกชายให้มาช่วยน้องสาว และวันนี้นายจ้างก็ทำอนาจารอีกครั้ง พี่ชายจึงได้โทรแจ้งตำรวจขอความช่วยเหลือ และแนะนำให้สาวลาวปีนกำแพงรั้วออกมาก่อน เพราะไม่ปลอดภัยกับตัวผู้เสียหาย ที่เดินทางเข้ามาทำงานอย่างถูกต้อง หลังจากนี้จะหาแนวทางกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือ หากผู้เสียหายประสงค์อยากทำงานต่อที่ จ.อุดรธานี รวมทั้งสิทธิสวัสดิการต่างๆ ที่ควรจะได้รับด้วย”

 

ต่อมาเราได้ไปคุยกับนายเจมส์ เพื่อนบ้านที่มีอาศัยอยู่ละแวกบ้านนายแพทย์ คู่กรณีของนางสาวแพรวา เผยว่าตนเองไม่ค่อยรู้จักว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านของใครแต่โดยปกติปกติทุกเช้าที่ตนเองขี่รถจักรยานยนต์ไปโรงเรียนก็จะเห็นว่ามีคนเปิดประตูออกจากบ้านหลังดังกล่าวมาทิ้งขยะทุกวัน ส่วนใหญ่ที่ตนเองเห็นจะเป็นผู้ชายวัยกลางคนและหญิงวัยกลางคน แต่ตนเองแทบไม่เคยเห็นหญิงสาววัยรุ่นคนดังกล่าว

 

และตนเองก็รู้ด้วยซ้ำว่าที่บ้านหลังดังกล่าวคนงานเป็นสาวลาวถูกกักขัง เพราะ บ้านหลังดังกล่าวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และส่วนใหญ่ละแวกบ้านก็จะต่างคนต่างอยู่ จึงไม่รู้ว่ามีข่าวแบบนี้เกิดขึ้น

 

จากนั้นทีมข่าวจึงได้เดินทางไปที่บ้านของนายแพทย์คนดังกล่าว เมื่อไปถึงพบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านหรู มีกำแพงสูงเกือบ 2 เมตรรอบรั้วขอบชิด และบ้านปิดประตูหน้าบ้านไว้ตลอด ซึ่งเราจึงได้พยายามกดกริ่งหน้าเรียกคนในบ้านก็ไม่ปรากฏว่ามีใครออกมา

 

ต่อมาขณะที่ทีมข่าวเดินอยู่หน้าบ้านและได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อนายแพทย์ ซึ่งปรากฏว่าเจ้าตัวรับสาย จากนั้นผู้สื่อข่าวได้แนะนำตัวและได้บอกกับนายแพทย์ว่าอยู่ที่หน้าบ้านมาขอสัมภาษณ์

 

ทันทีที่นายแพทย์เห็นว่าเป็นนักข่าวมารอที่บ้านก็ได้เดินออกมาที่หน้าบ้าน เพื่อมาดูผู้สื่อข่าว ไม่นานก็เดินหลบเข้าไปในบ้าน แต่เจ้าตัวก็ยังคุยโทรศัพท์กับนักข่าวอยู่ตลอดเวลา

 

และในระหว่างนี้เราได้สังเกตเห็นว่านายแพทย์นั่งคุยโทรศัพท์กับเราอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่ยอมออกมาพูดคุยหรือชี้แจงกับเรา แต่ชี้แจงกับเราผ่านทางโทรศัพท์

 

โดยนายแพทย์ บอกกับเราว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตนเองยอมรับว่าตกใจเหมือนกัน ที่อยู่ ๆ นางสาวแพรวาก็ไปให้ข่าวว่าตนเองกักขังหน่วงเหนี่ยว ซึ่งตนไม่เคยคิดที่จะมีการกักขังหน่วงเหนี่ยวนางสาวแพรวาตามที่เป็นข่าว แต่ที่ไม่ยอมให้นางสาวแพรวาออกจากบ้านในช่วงเวลากลางคืน เพราะหากเกิดอันตรายขึ้นตนเองก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ รวมถึงแม่ที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะโดยปกติแล้วนางสาวแพรวาจะนอนอยู่ในห้องนอนกับแม่ของตนเอง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะไปทำพฤติกรรมลวนลามนางสาวแพรวาตามที่เป็นข่าว

 

และที่ผ่านมาระหว่างที่นางสาวแพรวาอยู่ที่บ้านก็เข้าออกบ้านได้ปกติและสั่งของทางไปรษณีย์มาส่งก็ออกไปรับด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าหากตนเองกักขังหน่วงเหนี่ยวจริงนางสาวแพรวาก็สามารถใช้โอกาสนี้หลบหนีได้ตลอด

 

ส่วนเรื่องที่นางสาวแพรวา กล่าวหาว่า ตนเองมีพฤติกรรมลวนลามชอบจับแขนจับขาและโอบกอดรวม หอมแก้ม ก็ยืนยันว่าไม่ได้ลวนลาม เพราะที่บ้านตนเองก็ไม่ได้อยู่กับนางสาวแพรวาเพียงลำพัง ที่บ้านของตนเองอยู่กันหลายคน ทั้งแม่ที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ภรรยา นางสาวแพรวาและคนงานผู้ชาย รวมทั้งตนเองอีกคน ซึ่งตนเองจะเอาเวลาไหนไปลวนลาม

 

ส่วนวันเกิดเหตุที่นางสาวแพรวาปีนรั้วกำแพงหนีออกจากบ้าน แล้วบอกว่าถูกกักขังไม่ได้ขังเนื่องจากว่ารอคนกลางมาตรวจสอบกระเป๋าของนางสาวแพรวา แต่นางนางสาวแพรวาก็ไม่รอโทรแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาช่วยนำตัวออกไปซึ่งขณะนั้นตัวเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีการปีนรั้วหนีออกไป

 

ซึ่งนายแพทย์คนดังกล่าว ตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใด นางสาวแพรวาจึงให้ข่าวโจมตีตนเอง เพราะ ส่วนตัวไม่เคยทำอะไรนางสาวแพรวามาก่อน และไม่ได้อยากออกมาแก้ข่าวหรือให้สัมภาษณ์ เพราะตอนนี้ได้มอบหมายให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการ และยืนยันว่าจะไม่ฟ้องกลับ

สาวลาวหนีระทึกจากบ้านนายจ้าง โวยถูกหมอเฒ่าตัณหากลับลวนลาม