อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นายสายลม สมบัติทอง ซึ่งเป็นอดีตพรานป่า บอกเช่นกันว่า ตนเองยังเชื่อว่าเสี่ยแป้งยังคงอยู่ภายในเทือกเขาบรรทัดไม่ได้ไปไหน แต่มีพรานป่าที่มีฝีมือคอยช่วยเหลืออยู่ เนื่องจาก อาหารภายในป่านั้นหาได้ง่าย และมีความอุดมสมบูรณ์มาก เสี่ยแป้งอยู่ได้สบาย ส่วนที่เจ้าหน้าที่ยังหาเสี่ยแป้งไม่พบ ก็มีความเป็นไปได้ ที่พรานป่าที่ช่วยเหลือเสี่ยแป้งอยู่ อาจทำพิธีปิดป่าเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครเห็น
พิธีปิดป่านี้ จะทำให้เจ้าหน้าที่ที่ตามหาจะลงทิศทาง หรือมีอะไรดลใจให้ไปค้นหาทิศทางอื่น ทำให้ไล่ตามเสี่ยแป้งไม่ทัน บางครั้งก็มาในรูปแบบภาพลวงตา คนกลายเป็นก้อนหินเป็นต้นไม้แทน มองไม่เห็น
ซึ่งตนเองเชื่อว่า การที่เจ้าหน้าที่เดินเข้าไปติดตามหาตัวเสี่ยแป้งภายในป่านั้น ใช้เพียงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ แต่ไม่มีพราน ก็อาจจะยากในการค้นหา เนื่องจากพรานป่าที่ชำนาญพื้นที่ จะไม่เดินตามรอยเท้าชาวบ้าน หรือตามรอยใคร พรานที่เก่งจะมีทางของตัวเองสามารถเดินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
การที่จะจับเสี่ยแป้งได้นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ก็ยังคงมีหวัง เนื่องจากช่วงเดือนพฤศจิกาและธันวาคม เป็นช่วงที่เรียกว่า ช่วง “หัวลมออก” คือ จะมีลมพายุกระหน่ำแรงพัดเข้าป่าอย่างหนัก ประกอบกับพายุฝน ซึ่งพรานป่าจะรู้กันดี โดยช่วงนี้พรานป่าจะไม่พักอาศัยในป่าที่มีต้นไม้สูงเท่าไหร่นัก เพราะเสี่ยงต่อกระแสลมที่จะพัดทำให้ต้นไม้ล้มทับตายได้ สัตว์ป่าก็เช่นกัน ซึ่งทางเดียวที่จะหลบได้คือ บริเวณถ้ำ ซึ่งตนเองแนะนำว่า หากจะค้นหาเสี่ยแป้ง ให้ลองค้นหาตามถ้ำ จะมีโอกาสเจอมากกว่า เพราะถ้ำถือเป็นที่หลบภัยชั้นดีของพรานที่เดินป่าทุกคน ยิ่งในช่วงที่มีลมพายุยิ่งมีโอกาสมาก
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางมาที่สำนักร่างทรงของอาจารย์โต โดยอาจารย์โตกำลังทำพิธีเข้าทรงตาหลวงสิงขร เป็นการเสวยไฟ กินพลูกินหมาก เหมือนคนแก่ เพราะนี่คือตาหลวงเข้ามาประทับร่างแล้ว
ข่าวช่อง 8 ไปที่สำนักทรงของอาจารย์โต ชุมชนบ้านตาโหมดอำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ซึ่งอาจารย์โต เป็นร่างทรงของครูหมอโนรา และตาหลวงพรานสิงขร ซึ่งในแต่ละวันจะมีชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือ บ้างก็เจ็บไข้ได้ป่วยแต่หมอรักษาไม่หาย บ้างก็ของหาย หรือแม้แต่คนหาย ก็จะมาขอความช่วยเหลือให้อาจารย์โตนั่งทางในตามหาคนให้หน่อย ซึ่งที่ผ่านมามักจะประสบผลสำเร็จ ไปเจอชาวบ้านที่หลงป่า ไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ช่อง 8 ขอให้ตาหลวงพรานสิงขรนั่งทางใน ว่าเห็นเสี่ยแป้งอยู่ที่ไหน ยังมีลมหายใจหรือไม่ ร่างทรงตาหลวงพรานบุญ ตอบกลับมาว่าไม่ยุ่ง ไม่รู้ อย่ามาถามเรื่องการเมือง อย่าถามเรื่องเสี่ยแป้ง ให้มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เหตุผลที่ต้องมาพูด
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปพูดคุยกับ อดีตผู้ใหญ่แจ้ง แสงสกุล อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 บ้านตระ ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่ใกล้กับจุดหลบซ่อนของเสี่ยแป้ง และจุดที่มีการปะทะเกิดขึ้น โดยทีมข่าวได้ไปสอบถามขอคำแนะนำจากอดีตผู้ใหญ่แจ้ง เนื่องจากจนถึงวันนี้ ผ่านไป 12 วันแล้ว ที่ตำรวจปิดล้อมเขาแต่ยังไม่สามารถจับตัวเสี่ยแป้งได้
อดีตผู้ใหญ่แจ้งได้ให้ความเห็นว่า ตนเองยังคงเชื่อว่าเสี่ยแป้งยังคงหลบหนีอยู่ภายในเทือกเขาบรรทัด ด้วยหลายเหตุผลด้วยกันคือ
1. เป็นพื้นที่ที่เสี่ยแป้ง มีความชำนาญพื้นที่ หลบหนีอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ย่อมได้เปรียบกว่าหนีไปอยู่นอกพื้นที่ที่ตัวเองไม่รู้จัก
2. เสี่ยแป้งมีพรรคพวกจำนวนมาก มีญาติพี่น้องอยู่ในพื้นที่จังหวัดตรัง พัทลุง สตูล นครศรีธรรมราช ซึ่งตนเองเชื่อว่า เสี่ยแป้งจะไม่หลบหนีไปไหน และยังคงอยู่ในพื้นที่โดยมีพรรคพวกคนรู้จักของเสี่ยแป้งคอยช่วยเหลืออยู่ และคนที่ช่วยเหลือเสี่ยแป้งนั้น ก็จะต้องเป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลพอสมควรที่จะคุ้มครองแป้งได้ หรือไม่ แป้งก็ต้องมีพรานป่าที่มีความชำนาญพื้นที่สูง ในการดูแลเรื่องการกินอยู่หลับนอนของแป้ง
3. ค่าหัวเสี่ยแป้งสูงถึง 1 ล้านบาท ทำให้เสี่ยแป้งคงไม่กล้าออกจากพื้นที่หนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะหากอยู่ต่างประเทศได้ เสี่ยแป้งจะต้องอยู่กับคนที่ตัวเองไม่สนิท ไม่เหมือนถิ่นของตัวเอง เงินไม่ได้ซื้อทุกอย่างได้ หากจ่ายไม่ถึง ก็จะมีคนคอยหักหลังเอาค่าหัวเสี่ยแป้งได้ตลอดเวลา
ส่วนที่มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาทำนายว่า เสี่ยแป้งหนีไป พม่า มาเลเชีย อินโดนีเซีย เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และคนพวกนั้นที่คาดการณ์เป็นพวกไม่รู้อะไร ไม่เคยมาเหยียบพื้นที่สักครั้งแต่พูดไปก่อน
ผู้ใหญ่แจ้งแนะนำว่า หากตำรวจต้องการจะจับตัวเสี่ยแป้งได้ ควรเพิ่มกำลังขึ้นไปไล่ล่าเสี่ยแป้งมากให้มากกว่านี้ และเป็นเรื่องที่ดีมากที่ล่าสุด แม่ทัพภาค 4 ส่งทหารมาช่วยในการไล่ล่าตัวแป้ง
นอกจากนี้ผู้ใหญ่แจ้งอยากแนะนำด้วยว่า เจ้าหน้าที่ที่ขึ้นไปติดตามไล่ล่าเสี่ยแป้งนั้น ควรใช้สงครามจิตวิทยาในการทำงานด้วย ไม่ใช่เอาแต่ปฎิบัติหน้าที่เพียงอย่างเดียว ไม่รู้จักการซื้อจ่ายชาวบ้าน หรือหาวิธีเอาชาวบ้านเป็นพวก
การที่ตำรวจบุกไปเชิญตัวชาวบ้านแต่ละคนลงมาสอบสวน จะยิ่งสร้างความหวาดกลัว และชาวบ้านไม่กล้าให้ข้อมูลใดๆ ลองเปลี่ยนเป็น ตำรวจไม่ต้องแต่งเครื่องแบบ ไปนั่งกินข้าว พูดคุย ช่วยเหลือชาวบ้าน ขาดเหลืออะไร รับฟังปัญหา ไม่ต้องพาตัวลงมาสอบ แต่ไปนั่งคุยที่บ้านเขาแบบดีๆ ตำรวจจะซื้อใจชาวบ้านได้มากกว่า เลี้ยงชาวบ้านเป็นสายให้ตำรวจ ตนเองเชื่อว่าตำรวจจะทำงานได้ง่ายมากกว่านี้
และที่สำคัญ ตนเองเห็นในข่าว นักข่าวหรือใครก็ไม่ควรไปเรียกให้ค่าแป้ง อย่าง “เสี่ยแป้ง” หรือ “เสือแป้ง” เพราะจะเป็นการทำให้ลูกน้องที่ช่วยเหลือ “นักโทษชายแป้ง” ภูมิใจที่ช่วยแป้งหลบหนี
วันนี้ทางทีมข่าวช่อง8 ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ที่มาประจำอยู่ตรงจุดสกัดน้ำตกท่าข้าง ในการจำลองสถานการณ์นำโดรนจำความร้อนมาลองทดสอบขึ้นบินกัน ที่บริเวณขนำของเจ้าหน้าที่ชุดจุดสกัดบริเวณน้ำตกท่าช้าง
ซึ่งทีมข่าวช่อง 8 พร้อมเจ้าหน้าที่ ได้จำลองเหตุการณ์ว่าหากมีคนหลบอยู่ในขนำนั้น และใช้โดรนจับความบินสำรวจดูก่อนว่าพบสิ่งผิดปกติหรือไม่ โดยในตอนแรกทีมข่าวช่อง8 ได้ลองบินโดรนแบบธรรมดาไม่ใช้ตัวจับความร้อน พบว่าภาพที่จับได้จะเป็นภาพลักษณะปกติ ไม่มีอะไรน่าสงสัย
แต่ถ้าหากเปลี่ยนโหมดเป็นโหมดจับความร้อน ผลก็ปรากฏว่าโดรนจับความร้อนนั้นสามารถจับความร้อนของสิ่งมีชีวิตได้จริงๆ ซึ่งในจอบังคับโดรนของทีมงาน แสดงภาพเป็นสีแดงแบบอินฟาเรตและสามารถตรวจจับความร้อนพบบุคคลอยู่ในขนำเป็นสีส้มได้
ที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า อ่างเก็บน้ำคลองหัวช้างโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริเจ้าหน้าทีชุดเเรดคิ้วหน่วยบินพิเศษกรมตำรวจ เจ้าหน้าที่ชุดซิก้า ของ ตชด.ที่ 43 และชุดปฏิบัติการพิเศษค่ายนเรศวร กว่า 30 นายกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสนับสนุนภาระกิจติดตามไล่ล่า นักโทษชาย เชาวลิต ทองด้วง หรือแป้งนาโหนด โดยการบินสำรวจค้นหา เป้าหมายด้วยเรด้าจับความร้อน ระยะไกล 3 กิโลเมตร หากท้องฟ้าเปิด และเตรียมเข้าสนับสนุนภาระกิจตามการร้องขอจากเจ้าที่ชุดเดินเท้าติดตามไล่ล่าบนเทือกเขาบรรทัด ซึ่งภาระกิจติดตามไล่ล่าตัวนายแป้งนาโหนดผ่านมาแล้ว 12 วัน ยังไร้วี่แววว่า
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ยังตั้งด่านตรวจเข้มทุกเส้นทางเข้าออกหลังนักข่าวช่อง 8 ได้ทดลองซ่อนตัวท้ายรถผ่านด่านตรวจ แต่เจ้าหน้าที่ไม่เปิดท้ายรถตรวจ สามารถผ่านไปได้ จนมีเสียงวิภาควิจารณ์ การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ด้าน ร.ต.ต.อรุณ จีนเมือง รองสวป.สภ.กงหรา กล่าวว่า สำหรับด่าน 4 แยกโหล๊ะจังกระ ม.9 ต.คลองเฉลิม อ.ตะโหมด จ.พัทลุง มีเจ้าหน้าที่ผลัดเปลี่ยนตรวจตราตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับนายแป้งนาโหนด หลายฝ่ายเชื่อว่าหากอยู่บนเทือกเขาบรรทัด เป็นเวลา 12 วันแล้วก็อาจจะเสียชีวิตแล้ว หรือหากยังมีชีวิต ก็น่าอยู่ในสภาพอิดโรย สาหัส เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนบ่อย และยังมีฝูงสัตว์ที่อัตราย อีกจำนวนมาก และหากมีลูกน้องให้การช่วยเหลือคาดว่าคงหนีไปได้ไกล