ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุงว่า ที่ศูนยปฎิบัติการส่วนหน้า อ่างเก็บน้ำคลองหัวช้าง อ.ตะโหมด จ.พัทลุง ชึ่งเป็นศูนย์ส่วนหน้าสำหรับความคืบหน้าการติดตามล่าตัว เสี่ยแป้ง นาโหนด หรือนายเชาวลิต ทองด้วง อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาคดีสำคัญ ที่หลบหนีจากโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช ไปอยู่บนเทือกเขาบรรทัด รอยต่อจังหวัดพัทลุงและตรัง โดยมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ แต่หลบหนีไปได้เมื่อวันที่ 8 พย.66 จนกระทั่งล่าสุด มีกระแสข่าวพบร่องรอยฝั่งพัทลุงบ้าง ฝั่งจ.ตรังบ้าง ฝั่ง จ.สตูลบ้าง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

โดยล่าสุด เช้าวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่วมปฎิบัติการแกะรอย ชที่มีชุดแดนไทย 54 ชุดปฏิบัติการพิเศษซิงก้า (SINGA) หน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 สงขลา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดพลร่ม ตชด.ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี โดยเป็นชุดแกะรอยจากจุดปะทะบนเทือกเขาวันแรก เตรียมเดินทางย้อนกลับไปแกะรอยเส้นทางหลบหนีเสี่ยแป้งใหม่อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้แกะรอยเส้นทางหลบหนีไม่เจอรอยเท้าในระยะห่างจากจุดปะทะ 700 เมตร ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่มุ่งสู่บ้านป่าพง ต.ตะโหมด อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เนื่องจากช่วงแกะรอย มีน้ำป่า มีฝนตกทำให้สภาพไม่อำนวย ในช่วงก่อนหน้านี้ จึงจำเป็นต้องเริ่มภารกิจแกะรอยใหม่อีกครั้ง แต่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ฝนตกลงมาหนักต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืน เจ้าหน้าที่ยังต้องรออยู่ฐานที่ตั้งไปก่อน

อย่างไรก็ตามสำหรับปฎิบัติการของเจ้าหน้าที่นั้น ในส่วนของชุดปฏิบัติการที่เข้าไปร่วมสมทบและถือเป็นชุดปฏิบัติการที่ค่อนข้างมีความสำคัญในภารกิจครั้งนี้นั่นก็คือ ชุดปฏิบัติการพิเศษซิงก้า (SINGA) หน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 สงขลา ซึ่งชุดดังกล่าวได้มีการเข้าประจำการ และมีการผลัดเปลี่ยนกำลังพลตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการรายงานเหตุการณ์ปะทะ

โดยล่าสุดผู้สื่อข่าว ได้พูดคุยกับทางหนึ่งในเจ้าหน้าที่ ชุดปฏิบัติการพิเศษซิงก้า (SINGA) โดยในส่วนบุคคลที่ได้พูดคุยนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่เข้าประจำการในบริเวณป่าที่เกิดเหตุ โดยเข้าประจำการนานกว่า 4 วัน ก่อนที่เพิ่งจะออกมา

โดยทางเจ้าตัว ว่าในส่วนชุดของตนนั้นมีการขับปฏิบัติการประมาณ 13 นาย โดยได้เข้าไปในจุดบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกับจุดปะทะห่างกันประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งชุดของตนจะทำหน้าที่เป็นหน่วยลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบและสอดส่องบุคคลต้องสงสัย

ซึ่งในพื้นที่ยอมรับว่าค่อนข้างลำบากแต่ก็ไม่เกินความสามารถของชุดตน เนื่องจากที่ผ่านมาประสบการณ์ในหลายเหตุการณ์บริเวณเทือกเขาดังกล่าวเลยมีลักษณะคล้ายคลึงกับพื้นที่ที่ทางชุดปฎิบัติการเคยเข้าไปประจำการอย่างในพื้นที่ เทือกเขาบูโด และเทือกเขาสุไหงปาดี จ.นราธิวาส ในอดีตเคยเป็นพื้นที่โจรผู้ร้ายชุกชุม

แต่ในพื้นที่ที่ชุดปฏิบัติการเข้าไปนั้นจะประสบปัญหาในเรื่องของสภาพอากาศและภูมิประเทศ เนื่องจากบางช่วงบางตอนของเส้นทางจะต้องมีการผ่านพื้นที่แอ่งน้ำ หรือลำห้วย ซึ่งเมื่อสภาพอากาศมีฝนตกตลอดทั้งวันส่งผลให้เส้นทางดังกล่าวจะขาดตอนเนื่องจากมีน้ำป่าไหลหลาก รวมไปถึงน้ำจะไหลเชี่ยวจนทำให้ทางชุดปฏิบัติการไม่สามารถเดินผ่านหรือข้ามจุดดังกล่าวได้ อีกทั้งในเรื่องของอาหารการกิน ยอมรับว่าในส่วนของศูนย์การได้มีการส่งอาหารและเสบียงเข้าไปให้กับทีมชุดปฏิบัติการ แต่เนื่องด้วยสภาพอากาศและภูมิประเทศอาจจะทำให้การลำเลียงหรือขนส่งอาหารนั้นต้องขาดตอนและไม่มาถึงในส่วนของชุดปฏิบัติการ ทางตนเองและทีมงานจำเป็นที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของบะหมี่เครื่องสำเร็จรูป เนื่องจากสามารถพกพาและสะดวกต่อการยังชีพ

ซึ่งในส่วนของภารกิจตนยอมรับว่าเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ แต่ทางชุดปฏิบัติการของตนเองก็ได้มีการเตรียมการเผื่อไว้ตามที่ประสบการณ์ในอดีต เนื่องจากในอดีตเองยอมรับว่าการเข้าป่าหรือเข้าไปอยู่ในบริเวณเทือกเขา ย่อมมีปัจจัยที่อาจจะทำให้เราเองไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วาง ซึ่งทางชุดของเราเองก็ได้มีการเตรียมพร้อมเผื่อระยะเวลามากกว่าที่กำหนด ทั้งนี้ภายหลังที่เสร็จสิ้นภารกิจและชุดได้ออกมาจากจากนี้ก็ต้องรอรับคำสั่งจากทางหัวหน้าชุดอีกครั้งว่าจะมีการเข้าไปลาดตระเวนหรือเฝ้าระวังอีกครั้งเมื่อไร

ขณะที่อุปสรรค อื่นๆก็จะเป็นในปัจจัยในเรื่องของสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทาก หรือสัตว์มีพิษ รวมไปถึงบาดแผล ที่บริเวณเท้าที่เกิดขึ้นจากน้ำกัดเท้า หรือ ทากที่กัด ซึ่งในส่วนนี้อาจจะส่งผลให้เกิดอาการแผลติดเชื้อหรืออักเสบได้หากไม่ได้รับการรักษา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเป็นบาดแผลแล้วด้วยสภาพอากาศตามที่บอกว่าค่อนข้างแฉะ รวมไปถึงต้องเดินผ่านลำน้ำตลอดเวลาเลยทำให้อาจจะเกิดอาการเปื่อยของบาดแผลได้ ขณะที่สัตว์ใหญ่นั้น ทางเจ้าหน้าที่เองจะมีการก่อฟืนไฟ ไว้ตรงบริเวณที่มีการพักแรม ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันยุงและในส่วนของสัตว์ใหญ่ที่อาจจะเข้ามาในบริเวณที่พักแรมช่วงดึก แต่ทั้งนี้ทางชุดสกัดกั้น ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของการจุดไฟ เนื่องจากอาจเป็นหนึ่งในสัญญาที่ทำให้ทางผู้ร้ายหรือ เสี่ยแป้ง สามารถจับพิกัดของทางเจ้าหน้าที่ได้

พ.ต.อ. นิติวุฒิ หัวหน้าชุดแรดคิว บอกว่า พื้นที่เทือกเขาบรรทัด สภาพอากาศแปรเปลี่ยนบ่อย บวกกับมีต้นไม้สูง ทำให้การปฏิบัติภารกิจเป็นไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งทางชุดแรดคิ้มมีหน้าที่หลัก คือการสนับสนุนข้อมูลด้านการตรวจค้นทางอากาศ จับความร้อนด้วยเรด้าระยะไกล 3 กิโลเมตร ซึ่งไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน และการบินส่งเสบียง และการสนับสนุนการร้องขอตามภาระกิจ

ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา จนถึงช่วงบ่าย ได้เกิดฝนตกหนักทั่วจังหวัดพัทลุง โดยเฉพาะบริเวณเขาบรรทัด เขตรอยต่อจังหวัดพัทลุง ตรังและจังหวัดสตูล น้ำฝนที่ตกบนยอดเขา ไหลลงสู่น้ำตกเขาคราม โตนแพรทอง ปากราง หนานสูง นกรำ โนรา ไพรวัลย์ ท่าช้าง หม่อมจุ้ยและน้ำตกลาดเตย เป็นจำนวนมาก

หน่วยปฎิบัติการพิเศษของตำรวจภูธรภาค 8 หรือหน่วยสวาทของภาค8 ที่มีการเข้าร่วมการไล่ล่าเสี่ยแป้งเป็นชุดแรกหลังจากการปะทะ ซึ่งหน่วยปฎิบัติการพิเศษชุดนี้ อยู่ใช้ชีวิตอยู่บนเขาและเดินไล่ล่าเสี่ยแป้งในพื้นที่กลางป่า ตั้งแต่วันที่ 9 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน

ซึ่งวันนี้ ทีมข่าวช่อง 8 เป็นที่แรกที่ได้คลิปในการปฎิบัติการไล่ล่าเสี่ยแป้งและการใช้ชีวิตอยู่บนเขาของหน่วยปฎิบัติการพิเศษของตำรวจภูธรภาค 8 มา

โดยจะเห็นว่าทางตำรวจชุดดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ชุดที่ขี่รถจักรยานยนต์ไล่ล่า และการเดินเท้าลัดเลาะไปตามป่า ซึ่งอุปสรรคในการไล่ล่า อย่างที่เห็นตามในคลิป ตำรวจต้องเดินกลางสายฝนท่ามกลางสายน้ำป่าที่ไหลทะลักลงมาจากเทือกเขา

ต่อมาเป็นภาพเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือ เดินลัดเลาะไปตามแหล่งน้ำ

คลิปต่อมาจะเห็นว่า เมื่อถึงเวลาใกล้ค่ำ ตำรวจชุดนี้ มีการหาที่ปักหลักเพื่อเป็นที่หลับนอน โดยการตัดต้นไม้ถางป่า

เมื่อมีการหาที่พักกลางป่าได้แล้ว ตำรวจชุดนี้ มีการกางผ้าใบ ผูกเปลนอนซึ่งต้องสวมรองเท้าคอมแบทนอนเพื่อเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา

ต่อมาจะเป็นการทำอาหารกินกันกลางป่า ซึ่งจะเห็นว่า ตำรวจชุดนี้ทีการนำหม้อขึ้นมาด้วย 1 ใบ และมีการก่อไฟเพื่อหุ่งข้าว เมื่อข้าวสุก หรือต้มมาม่าเสร็จ จะเห็นว่าตำรวจชุดนี้มีการตักข้าวและมาม่ากินในหม้อเดียวกัน ส่วนบางคนต้องแกะปลากระป๋องกินเปล่าๆเพื่อประทังชีวิต

เมื่อทุกคนกินอาหารกันแล้ว ในระหว่างที่นอน ก็ยังต้องถือปืนอยู่ข้างกายตลอดเวลา และในช่วงกลางคืนก็ยังต้องมีการจัดเวร แบ่งกันไปเดินลาดตะเวนกลางป่า