กรณี วันที่ 5 พ.ย 2566 เวลา 12.45 น. เกิดเหตุ ป่าสัก ม.3 ต.เลาขวัญ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี ผู้เสียเสียชีวิต คือ นายเสริมศักดิ์ หรือต้า อายุ 38 ปี และนายบุญส่ง อายุ 50 ปีเศษ  ผู้ต้องหา คือ นายจิระเดช หรือต้อม อายุ 36 ปี  สามารถจับกุมได้ เหตุเกิดพื้นที่สภ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี นั้น

 

วันนึ้ (5 พ.ย.) ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวเนย (นามสมมติ) อายุ 1 8ปี ลูกสาวของนางสาวมด ในฐานะลูกเลี้ยงของนายเสริมศักดิ์หรือต้าคนตาย เผยว่า ที่ผ่านมาตัวของนายจิระเดชหรือต้อม พยามที่จะเข้ามาตามจีบ และ ชักชวนให้ออกไปเที่ยวนอกบ้าน แต่ด้วยตนเองรู้จักว่าตัวของนายต้อมเป็นคนแบบไหน มีอารมณ์ร้อนและฉุนเฉียว  จึงไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวและไม่อยากยุ่งด้วย

 

และมีเหตุการณ์ประมาณ 2 เดือนก่อน ตัวของนายต้อมเคยมาชวนตัวเองออกจากบ้านไปเดินเล่นที่เขื่อน ซึ่งตอนที่นั่งรถออกไปก็ดูปกติ แต่เมื่อไปถึงที่เขื่อนแล้วปรากฏว่าอารมณ์ของนายต้อมแปรปรวน เข้ามาทำร้ายตนเอง และพยายามทุบตีตนเอง ส่วนตัวจึงกลัวนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา และพยายามหนีและหลีกเลี่ยงไม่อยากเผชิญหน้า

 

หลายครั้งที่ตัวของนายต้อมขับรถมาเฝ้าที่หน้าบ้าน  และพยามชักชวนออกไปข้างนอก ตนเองก็จะบอกพ่อกับแม่เสมอว่าให้กีดกันออกไป ไม่อยากยุ่งเกี่ยว และไม่อยากเจอหน้านายต้อม เช่นเดียวกับเหตุการณ์เช้าวันนี้ ตัวของนายต้อม ขับรถมอเตอร์ไซค์เสียงดังมานั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าบ้าน ตนเองจึงได้เรียกให้แม่กับพ่อเลี้ยงคือนายต้าคนตาย มาพานายต้อมกลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่พ่อเลี้ยงและแม่พานายต้อมไปส่ง แต่ระหว่างทางยังไม่ถึงบ้าน ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงเข้าใจว่ามีการก่อเหตุยิง เพราะเข้าใจว่าพ่อเลี้ยงมีการกีดกัน

 

นางสาวมด อายุ33ปี แม่ของนางสาวเนย ในฐานะแฟนของนายเสริมศักดิ์หริอต้า คนตาย เปิดเผยว่า  เหตุการณ์เมื่อเช้าวันนี้ตนเองกับนายต้าสามี กลับมาที่บ้านตามที่ลูกสาวบอก โดยลูกสาว ให้มาช่วยเพราะเนื่องจากนายต้อมมือปืนมานั่งเฝ้าอยู่หน้าบ้าน และพยามชักชวนออกไปนอก และยังมีพฤติกรรมตามจีบ แต่ตนเองเข้ามาก็เพื่อที่จะมาคุยกับนายต้อม แล้วพาที่จะกลับไปส่งบ้าน แต่ละระหว่าง ทุกอย่างก็ดูปกติ แล้วตัวของนายต้าสามีก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกับนายต้อม แต่ปรากฏว่าช่วงที่นายต้าตัดสินใจนั่งทานมะม่วงหาวมะนาวโห่ จิ้มน้ำพริกกิน ยังกินได้ไม่นาน ปรากฏว่าตัวของนายต้อมชักอาวุธปืนยิง จนกระทั่งนายสามีของตนเองล้มลงตายต่อหน้า และช่วงนั้นก็มีนายบุญส่ง ซึ่งเป็นชาวบ้านต่างหมู่บ้าน แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์นี้ ก็ถูกยิงตายเช่นเดียวกัน

 

และหลังจากนั้นตัวของนายต้อมมือปืนก็หันมาบอกกับตนเองว่า ”ผมจะไม่ยิงแม่นะครับ เพราะแม่คนเดียวคือคนที่จะทำให้ผมสมหวัง ผมแต่ผมต้องยิงนายต้าเพราะนายต้าเป็นเพียงแค่พ่อเลี้ยงแล้วมากีดกันตนเอง“ ซึ่งตอนนั้นตนเองก็ทำอะไรไม่ถูกยืนตัวสั่น และหาทางที่จะกลับออกมาจากที่เกิดเหตุเพื่อกลับไปบ้าน แล้วพาลูกสาวหนี

 

ภายหลังเกิดเหตุตัวของนายต้อม มือปืน ยังมีการข่มขู่ทำนองว่าหากตนเองไปบอกใครว่านายต้อมเป็นคนยิงคนตาย ตัวมือปืนจะกลับมาในหมู่บ้านแล้วไล่ยิงให้หมด จึงทำให้ตนเองไม่กล้าที่จะบอกใคร กลับมาบ้านก็ได้แต่พาลูกหนีไปอยู่ที่อื่น ก่อนที่จะมีคนไปเจอศพเวลา 12:00 น. จากนั้นตนเองเห็นว่าตัวของนายนายต้อมถูกจับแล้ว จึงยอมออกมาให้ข้อมูลพร้อมกับไปให้การกับตำรวจตำรวจ

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับที่ผ่านมายอมรับว่า ตัวของนายต้อมพยามที่จะตามขอจีบ และขอลูกสาวตนเองไปเป็นเมีย เคยมีเหตุการณ์มาเรียกตนเองว่าแม่หลายครั้ง แล้วบอกว่าจะเอาสินสอดเอาเงินมาให้ ซึ่งอ้างว่าถ้าหากตนเองยกลูกสาวให้จะยกที่ดินติดกับเขื่อนจำนวน 10 ไร่ โดย 5 ไร่ สามารถโอนเป็นชื่อของนางสาวเนยลูกสาวของตัวเองได้โดยทันที แต่เนื่องด้วยตนเองเห็นพฤติกรรมของนายต้อมว่าเป็นคนอย่างไร ประกอบกับเชื่อว่าอาจจะไม่รักลูกสาวตนเองจริง จึงไม่ได้ที่จะอนุญาตให้คบหาหรือให้ตกแต่งกัน

 

ด้าน นางสาวพิชญา ลูกสาวของนายบุญส่งชาวบ้านที่ถูกยิงตาย เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองไม่รู้ว่าพ่อไปทำอะไรบริเวณ จุดที่เกิดเหตุ เพราะมาทราบอีกทีหลังจากที่พ่อโดนยิงตาย แต่เท่าที่รู้จักกลุ่มที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าพ่อไปนั่งกินของเปรี้ยว ซึ่งก็เป็นปกติของชาวบ้านอยู่แล้วที่จะไปนั่งพูดคุยและกินของเปรี้ยวด้วยกัน แต่จากลักษณะของการยิงตนเองเห็นแนวกระสุนแล้วเข้าใจว่าเป็นการตั้งใจยิงพ่อของตนเอง เนื่องจากยิงเข้าที่บริเวณ ศีรษะ ซึ่งตนเองก็เชื่อว่าเป็นการตั้งใจยิงพ่อของตนเอง

 

จนกระทั่งตนเองมารู้ภายหลังว่า พ่อของตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับนายต้อมมือปืน แต่เข้าใจว่านั่งอยู่ตรงจุดนั้นจึงยิงตายไปด้วย ส่วนตัวจึงมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุอย่างมาก และตนเองอยากจะฝากถึงมือปืน อยากให้มาขออโหสิกรรมก่อนที่จะเผาศพในวันมะรืน และการตั้งศพครั้งนี้ตนเองก็ไม่มีเงินจัดศพให้พ่อ เนื่องจากพ่อเป็นเสาหลัก และแม่เสียชีวิตไปแล้ว