จากกรณีที่มีการประกาศตามหา เด็กนักเรียนชาวเขา ชื่อ น้องมัว ด.ช.ณัชพล สมภพวรพงษ์ อายุ 14 ปี ซึ่งมีบ้านเดิมอยู่ที่ อ.พบพระ จ.ตาก ได้หายออกไปจากวัดโฉมศรี ซึ่งมีโรงเรียนศรีอุดมวิทยา ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เป็นโรงเรียนที่รับเด็กชาวเขามาเรียนแบบอยู่ประจำ

โดย น้องมัว ได้หายจากวัดไป เมื่อวันที่ 16 ก.ย.66 เวลาประมาณ 11.30 น. สอบถามเด็กๆ ในวัดได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 11.30 น.พบเห็นมีคนขี่รถซาเล้งเก็บขยะเป็นชาย อายุประมาณ 50 ปี ขี่รถซาเล้งมาเก็บขยะที่ด้านหลังวัด และได้พูดจาชวน น้องมัว คุยกัน และพบเห็น น้องมัว นั่งไปในรถซาเล้ง กับชายคนดังกล่าว จนบัดนี้ น้องมัว ก็ยังไม่กลับมาที่วัดอีกเลย


เมื่อย้อนประวัตินายปิยะพงษ์ หรือ นายพัน หรือ นายบอย พบว่า เมื่อปี 2557 ถูกดำเนินคดีข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี , กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน15ปี ,กักขังหน่วงเหนี่ยว ในพื้นที่จ.ปราจีนบุรี

ปี 2560 ล่อลวงเด็กชาย 4 คนไปทำอนาจารในป่า จ.ปราจีนบุรี

ปี 2561 คดีพรากผู้เยาว์และอนาจารเด็กชาย จ.ปราจีนบุรี


วันนี้ (24 ก.ย.) ทีมข่าวช่อง 8 ติดตามความคืบหน้า ภายหลังมีพยานและชาวบ้านในพื้นที่ตำบลจันตคาม จังหวัดจังหวัดปราจีน เจอเบาะแสนายพันมีการพาตัวน้องมัวเข้ามาภายในพื้นที่

ด้านนางแสงทอง (นามสมมติ) พยาน ในฐานะชาวบ้านในพื้นพื้นที่ และเป็นคนที่พบเห็นเบาะแสของไอ้พัน เผยว่า ช่วงประมาณบ่ายของวันที่ 19 ก.ย. ตามเบาะแสสุดท้ายที่เจอในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี ปรากฏว่าเจ้าตัวได้เดินทางเข้ามาภายในพื้นที่บ้านเกิดในพื้นที่ตำบลจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีการลงรถตู้บริเวณปากซอย ก่อนที่จะเข้าไปภายในซอยบ้านของตัวเอง แล้วมีการขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาพร้อมกับน้องมัว เพื่อพากันไปซื้อขนมถุงใหญ่ ก่อนที่จะขับกลับเข้าไปภายในซอย แล้วไม่เห็นความเคลื่อนไหวอีก ฉะนั้นจึงยืนยันว่าหลังจากที่มีการลักพาตัวเด็กได้มีการย้อนกลับมาที่บ้านเกิดจริง แต่เหตุผลที่คนในบ้านไม่ยอมปริปาก เป็นเพราะทุกครั้งที่ไอ้พันมีการก่อเหตุ คนในบ้านมักจะมีการช่วยปกปิดและช่วยเหลือ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในคดีเก่าปี 2557 ที่มีการลักพาตัวเด็กมากระทำอนาจาร ทางครอบครัวก็ช่วยเหลือในการปกปิดและไม่แจ้งหน่วยงาน

สำหรับตัวของไอ้พันเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเองหลังจากที่ย้ายไปอยู่จังหวัดสิงห์บุรี แต่ตอนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ปราจีนบุรีตั้งแต่เกิดมีการใช้ชื่อเล่นว่าไอ้บอย ซึ่งมีฉายาว่า“ไอ้บอยสะพานดำ” โดยฉายาเกิดจากกลุ่มเพื่อนมีการเรียกขาน นับตั้งแต่ที่เรียนจบ ม.6 แล้วเริ่มมีอาการเบี่ยงเบนทางเพศ ก่อนที่จะเริ่มก่อเหตุล่อลวงเด็กไปกระทำอนาจาร จึงถูกกล่าวขานและตั้งฉายาว่าไอ้บอยสะพานดำ และหลังจากที่ก่อเหตุในปี 2557 จนกระทั่งถูกตำรวจควบคุมตัว ดำเนินคดี ก็ทราบว่าเจ้าตัวหายออกจากพื้นที่ไปไปรับโทษตามกระบวนการของกฎหมาย ก่อนที่จะทราบว่าไปโผล่ที่จังหวัดสิงห์บุรีแล้วมีการก่อเหตุซ้ำอีก


ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามที่พยานให้เบาะแส พบว่า มีกล้องวงจรปิดของเทศบาล วันที่ 19 ก.ย. ช่วงเย็น จับภาพบริเวณปากซอยบ้านของไอ้พันได้ โดยมีการขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคนซ้อนท้าย โดยภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพมุมไกล โดยมีการขับรถออกจากซอยบ้านเพื่อมุ่งหน้าพาเด็กไปซื้อขนม แต่กล้องวงจรปิดจะเห็นไม่ค่อยชัดเห็นเพียงรถมอเตอร์ไซค์และตัวของไอ้พันเป็นคนขับ


ขณะเดียวกัน ทีมข่าวยังได้เดินทางเข้าไปภายในซอยท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นบ้านของ“ไอ้พัน” หรือ“ไอ้บอยสะพานดำ ” โดยพบว่าบ้านของเจ้าตัวอยู่ท้ายหมู่บ้าน

ทีมข่าวพบ นางจันทร์ (นามสมมติ) แม่ของไอ้พัน เปิดใจว่า นับตั้งแต่เกิดเรื่องตนเองก็ทราบข่าวหลังจากที่มีนักข่าวเข้ามาหา แต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานเข้ามาประสานเกี่ยวกับการออกหมายจับลูกชาย และยืนยันว่าตั้งแต่เกิดเรื่องลูกชายก็ไม่ได้กลับมาที่บ้าน เพราะเจ้าตัวหายออกจากบ้านไปนานกว่า 10 ปีแล้ว ส่วนที่มีพยานหรือชาวบ้านเห็นว่าลูกชายกลับมาบ้านแล้วครอบครัวให้การช่วยเหลือนั้น ส่วนตัวขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะตนเองยังไม่ได้เจอลูกชาย ฉะนั้นหากทีมข่าวเจอ หรือชาวบ้านเจอก็แนะนำให้แจ้งตำรวจจับได้เลยเพราะตนเองไม่ได้ให้การช่วยเหลือและไม่เจอลูกชาย

ส่วนพฤติกรรมการก่อเหตุตนเองก็ไม่ทราบว่าลูกชายไปทำอะไรไว้ และไปลักพาตัวลูกของใครมา แต่หากย้อนไปในอดีตเมื่อปี 2557 ยอมรับว่าลูกชายก็เคยก่อเหตุลักษณะทำนองเดียวกันมาแล้ว แต่ก็เป็นการตัดสินใจและการกระทำของเจ้าตัวซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัว ทุกวันนี้แทบจะไม่กล้าออกไปสู้หน้ากับใครเนื่องจากอับอายที่ลูกชายไปทำแบบนี้ และยืนยันว่าถ้าใครเจอตัวก็ให้แจ้งตำรวจจับได้เลย

ทั้งนี้นางจันทร์ ยังกล่าวถึงฉายา ไอ้บอยสะพานดำ ว่า เป็นฉายาที่เพื่อนตั้งให้กับลูกชายตั้งแต่สมัยเด็ก พอได้จากหลังบ้านมีสะพานข้ามทางรถไฟซึ่งชื่อว่าสะพานดำ จึงเป็นการตั้งฉายาไอ้บอยสะพานดำมาตั้งแต่เด็ก และตอนที่มีการก่อเหตุปี57ได้เข้าไปติดคุก ก็อาจมีการเรียกขานกันในคุก จนทำให้มีการใช้ฉายาดังกล่าวหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ตนเองแม้ว่าจะมีศักดิ์เป็นแม่ของไอ้บอยหรือไอ้พัน แต่ตนเองก็ไม่ปกป้องเพราะการกระทำถือว่าเป็นเรื่องการกระทำที่ทำผิด ในเมื่อตัวของลูกชายทำผิดก็ต้องว่าไปตามกระบวนการของกฎหมาย และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวของตนเอง แล้วทุกวันนี้เรียกได้ว่ามีการตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้การช่วยเหลือ ไม่จำเป็นต้องให้ที่พักพิง หรือแม้แต่ส่งข้าวส่งน้ำอย่างที่มีคนกล่าวหา

เปิดฉายา "ไอ้พัน" อดีต "บอย สะพานดำ" ชอบกินของหวาน แม่โต้ลูกไม่กินถั่วซ้ำไม่โผล่บ้าน