จากกรณี ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เปิดปฏิบัติการ "พลิกถนนล่า รหัสโจรกรรม" จับ 2 ผู้ต้องหาแก๊งสวมทะเบียนรถ โดยแอบใช้รหัสยูสเซอร์เนม - พาสเวิร์ดของเจ้าหน้าที่ขนส่ง เข้าไปเจาะข้อมูลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลรถยนต์ จากนั้นไปแจ้งหายเพื่อทำเล่มทะเบียนใหม่ ก่อนนำไปจำนำหรือขาย โดยปูพรมยึดรถได้ 65 คัน มูลค่ากว่า 77 ล้านบาท

 

สำหรับลูกค้าส่วนใหญ่มีทั้งดารานักแสดงดัง ในจำนวนนี้มีพระเอกชื่อดังอักษรย่อ "ม." กลุ่มไฮโซและคนเล่นรถโบราณ เบื้องต้นตำรวจได้ออกหมายเรียกดารา อักษรย่อ "ม” ซึ่งเจ้าตัวออกมายอมรับว่าคือ มาริโอ้ เมาเร่อ นักแสดงชื่อดัง มาสอบปากคำโดยช่วงที่สืบสวนมาริโอ้ ยอมรับกับตำรวจว่า มีชื่อเอี่ยวโยงแก๊งดังกล่าว หลังซื้อรถมาจากรุ่นพี่ที่รู้จักพร้อมยืนยันความบริสุทธิ์ใจเตรียมให้ปากคำกับทางตำรวจ

 

พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง.ผบช.สอท เปิดเผยว่า ทางชุดทำงานได้มีการออกหมายเรียกนักแสดงหนุ่มเข้าให้ปากคำแล้ว ซึ่งทางมาริโอได้ให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่เบื้องต้นระบุว่า ซื้อรถต่อมาอีกทอดหนึ่งไม่ใช่การซื้อซากรถแล้วนำมาประกอบและแต่เป็นการซื้อรถมาพร้อมกับเอกสารทะเบียนเล่ม

 

จึงไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ซึ่งในส่วนนี้จะต้องเรียกนักแสดงหนุ่มให้ปากคำ พร้อมนำเอกสารหลักฐานมาแสดง ส่วนจะเป็นวันเวลาใดนั้นอยู่ระหว่างการประสาน รวมทั้งต้องสอบพยานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน ซึ่งตำรวจยังไม่เชื่อข้อมูลทั้งหมดของนักแสดงหนุ่ม อีกทั้งต้องดูด้วยว่ามีเจตนาว่าซื้อโดยไม่รู้ว่ารถคันนี้เป็นรถไม่ถูกต้อง หรือรู้อยู่แล้วแต่ตั้งใจ จงใจซื้อหรือไม่

 

ขณะนี้พบว่ามีกลุ่มที่มีรถโบราณที่ไม่ได้จดทะเบียน เป็นรถเถื่อนและแอบสวมทะเบียนทำผิดกฎหมายจำนวนกว่า 50 คัน ชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนกำลังขยายผลจับโดยจะจับเครือข่ายรายใหญ่ให้ได้ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มักจะนำซากมาจากที่อื่นแล้วนำมาประกอบก่อนจะจดทะเบียนปลอมและขายให้กับผู้ที่ชื่นชอบ ทั้งที่ผิดกฎหมาย โดยในวันพรุ่งนี้ 7 ส.ค.2566 จะเรียกชุดทำงานและพนักงานสอบสวน หารือวางแนวทางในการขยายผลเพื่อที่จะสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามคดีนี้ทางพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ขยายผลการจับ พร้อมเน้นย้ำให้ชุดทำงานดำเนินการรัดกุม ทำงานตรงไปตรงมา หากพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปที่กลุ่มบุคคลใดที่ส่อไปในการกระทำผิดก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย