หนุ่มโรงงานฟ้องกลับสาวลวงรัก อมสินสอดแต่ท้องกับชายอื่น อ้างเลิก "ดีเกินไป"

เรื่องราวความรักสุดพีกของ นายนุ หนุ่มโรงงานย่านสมุทรปราการ ที่ไปชอบพอกับนางสาวสา สาวโรงงานเดียวกัน ชอบพอกันมา 1 ปี โอนเงินให้เดือนละประมาณ 1 หมื่นบาท รวมเป็นเงิน 1 แสนกว่าบาทเป็นสินสอดให้ฝ่ายหญิงเก็บไว้เตรียมงานแต่ง พร้อมทอง 1 บาทเป็นของหมั้น แต่วิวาห์ล่มเพราะฝ่ายหญิงบอกเลิก ให้เหตุผลว่าดีเกินไป พีกยกสอง เลิกไปได้แค่อาทิตย์กว่า รู้ข่าวฝ่ายหญิงท้องกับชายอื่นอายุครรภ์ 3 เดือน ทำฝ่ายชายช้ำรักหนักมาก

ทีมข่าวช่อง 8 เจอตัวนายนุ เปิดใจให้ฟังว่า นุเจอสาวคนรักชื่อ “สา” เพื่อนร่วมงาน 10 ปี ทำงานคนละแผนก คุยกันสนิทขึ้น ผู้หญิงขยัน เลยขอคบหาเมื่อเดือนเมษายน 2565 ตอนคบกับฝ่ายหญิงส่งข้อความมาหาทางข้อความในเฟซบุ๊กเชิงว่า รักก็ต้องมาแต่ง ชอบต้องแต่ง ให้พ่อแม่มาขอ เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่คุณนุคุยเรื่องแต่งงาน โดยฝ่ายหญิงอ้างว่า ทางครอบครัวเรียกสินสอด 100,000 บาท ทอง 4 บาท

ทางคุณนุโอนเงินค่าสินสอดให้ทุกเดือนๆ ละ 10,000 บาท (แบ่งโอนเป็น 2 ครั้ง) เริ่มโอนพฤษภาคม 2565 - เมษายน 2566 รวมยอดเงินสินสอดที่โอนให้ฝ่ายหญิง 110,500 บาท ซื้อทองให้ 1 บาท คล้องให้กับมือ

ตอนคบกันฝ่ายหญิงตั้งกฎเหล็ก คือ 1.ห้ามเปิดเผยว่าคบให้คนที่ทำงานรู้ 2.ห้ามถ่ายรูปคู่กัน 3.ห้ามเดินไปเข้าใกล้เวลาทำงาน

 

จนมาวันที่ 20 เมษยน ฝ่ายหญิงบอกเลิกโดยขอโทษและอ้างว่าคุณนุดีเกินไป โดยฝ่ายชายยืนยันว่าไม่มีเรื่องทะเลาะอะไรกันเลย ก่อนจะมารู้ความจริงว่าฝ่ายหญิงท้องกับหนุ่มอีกคนที่เป็นซัพพลายเออร์ส่งของให้โรงงาน

นักข่าวถามว่า มั่นใจใช่หรือไม่ ว่าฝ่ายหญิงไม่ได้กำลังจะมีลูกกับนุ นุยืนยันหนักแน่น ไม่เคยมีอะไรกัน สวีตสุดๆ ระหว่างผมกับเขา “แค่ตัดเล็บให้ผม” และเคยไปเที่ยวไหว้พระ 2 ครั้งเท่านั้น ส่วนตัวมองว่าฝ่ายหญิงอาจจะมีคนอื่นช่วงเดือนกุมภาพันธ์

พอเลิกกันไปแล้วอาทิตย์นึงก็มารู้ว่าผู้หญิงท้อง มีไปฝากครรภ์ ทำให้ช้ำใจมากไม่อยากเห็นหน้าฝ่ายหญิง แต่มารู้ว่าน้องเป็นมะเร็งรังไข่ ก็อยากจะเอาเงินไปรักษาน้องได้ประโยชน์มากกว่า พอไปทวงถามฝ่ายหญิง ตอนแรกผู้หญิงอ้างมีหนี้ พอไปทวงอีก มีก็จ่ายไม่มีก็ไม่จ่าย หลังๆ ทวงหนักโดนด่าหยาบคาย

ทีมข่าวได้รับแชตที่หนุ่มสาวคู่นี้คุยกันเป็นข้อความที่ต่างฝ่ายต่างบอกรักกัน ฝ่ายหญิงบอกฝ่ายชายเป็นคนที่เธอรักมากที่สุด ส่วนอีกแชตเป็นข้อความที่ฝ่ายชายบอกว่าต้องใช้เวลาเก็บตังค์แต่งงานนะ ฝ่ายหญิงตอบกลับมาว่าทุกเงินเดือนออกต้องโอนเงินมาให้นะ เหลือไว้แต่พอกิน ฝ่ายหญิงจะเก็บเงินตรงนี้ไว้เองเป็นค่าสินสอดแต่งงาน

ล่าสุด ทีมข่าวได้รับแชตที่ทางพี่ชายฝ่ายหญิงส่งข้อความมาหาครอบครัวผู้เสียหาย โดยบอกสั้นๆ ว่า “เดี๋ยววันอาทิตย์จะเอาเงินคืนให้” ทางฝั่งผู้เสียหายถามถึงสร้อยคอทองคำที่เคยให้ จะนำมาคืนด้วยไหม พี่ชายฝ่ายหญิงระบุว่า ขอคืนแต่เงินได้ไหม ทางเรามีแค่นี้ ก็ต้องไปยืมจากคนรู้จักมาให้เหมือนกัน ก่อนจะมีการนัดแนะช่วงเวลาสะดวกที่จะขอเอาเงินแสนไปคืนที่โรงพัก ทางครอบครัวฝ่ายหญิงส่งข้อความมาให้ทางฝั่งผู้เสียหายถอนแจ้งความให้ด้วย

ทีมข่าวพยายามติดต่อไปยังฝ่ายหญิงเพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด รวมถึงพยามติดต่อไปยังพี่ชายของฝ่ายหญิงก็ไม่ได้รับการตอบรับเช่นกัน

ทีมข่าวได้พูดคุยกับทนายชำนัญ ศิริรักษ์ ให้ความกระจ่างว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การให้โดยเสน่หา เพราะการให้โดยเสน่หาต้องเป็นการให้เปล่า ให้โดยไม่มีเงื่อนไข แต่เรื่องของหนุ่มคนนี้เป็นการออมเงินไว้เป็นสินสอด เวลาผู้หญิงจะใช้เงินก็ต้องขออนุญาต ส่วนทองที่ให้ผู้หญิงก็เป็นของหมั้น เหมือนเป็นการฝากเงินสร้างอนาคต-ขอหมั้นไว้ ถ้าเลิกกันก็ต้องคืนตามส่วน ซึ่งกรณีนี้ผู้หญิงต้องคืนให้ผู้ชาย ผู้หญิงไม่คืนจะโดนความผิดฐานยักยอกทรัพย์เป็นคดีอาญา

คดีนี้เป็นคดีที่ยอมความกันไกล่เกลี่ยกันได้ ถ้าเอาเงินมาคืนจนเป็นที่พอใจสามารถถอนแจ้งความได้ เรื่องนี้หาทางออกร่วมกันได้ คดีนี้เป็นบทเรียนของความไว้วางใจ ใช้เงินกระเป๋าเดียวกัน มันก็มีปัญหาได้ สังคมมองว่าผู้ชายเป็นคนซื่อจนไม่ได้ระแวดระวังจะโดนหลอก

ไม่ชอบผัวดีๆ หนีไปท้องกับชายอื่น