เจ้าของอู่รถถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ขอตรวจสอบฐานข้อมูล ครั้งแรกไม่เชื่อ แต่พอถามไปแล้วตอบกลับถูกต้องทุกอย่างจึงหลงเชื่อ สูญเงินไปกว่า 1.5 ล้านบาท ตำหนิธนาคารทำงานช้า เข้าถึงยาก แนะพัฒนาใช้ระบบสแกนใบหน้า น่าจะป้องกันได้

วันที่ 6 ก.พ. 2566 นายวีรพันธ์ อายุ 42 ปี ชาว อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ว่าเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม2565 ที่ผ่านมา ขณะที่ตนเองกำลังทำงานอยู่ที่ร้าน ซึ่งเปิดธุรกิจ 3 ประเภท คือ อู่ซ่อมสีรถยนต์ สถานบริการตรวจสภาพรถเอกชน หรือ ตรอ. และร้านจำหน่ายยางรถยนต์ครบวงจร ได้มีโทรศัพท์โทรเข้ามา ซึ่งตนเองก็รับสายเพราะคิดว่าเป็นลูกค้า แต่เมื่อรับทางคู่สายบอกว่า โทรมาจากระทรวงพาณิชย์ต้องการตรวจสอบผู้ประกอบการเพื่ออัปเดตฐานข้อมูล และได้มีการพูดคุยกับตนเองในเรื่องของธุรกิจที่ทำอยู่ ว่ายังคงทำธุรกิจเป็น ตรอ. เป็นร้านซ่อมรถอยู่หรือไม่ ซึ่งตนเองกลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพ เนื่องจากมีข่าวให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ก็ได้มีการสอบถามข้อมูลกับทางมิจฉาชีพ โดยมิจฉาชีพก็สามารถตอบข้อมูลของตนเองได้ถูกต้องครบถ้วน โดยระยะเวลาที่มีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ประมาณ 5-10 นาที ตนเองจึงได้แจ้งไปว่าให้โทรมาช่วงบ่ายเพราะกำลังติดลูกค้าไม่สะดวกคุย

หลังจากนั้นมิจฉาชีพได้เพิ่มเพื่อนจากแอปพลิเคชันไลน์ เข้ามาพูดคุยพร้อมส่งข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลของบริษัทเข้ามาให้ตรวจสอบ ว่าข้อมูลนั้นถูกต้องหรือไม่ เพื่ออัปเดตข้อมูลของบริษัทใหม่ ซึ่งนายวีรพันธ์กล่าวว่า ข้อมูลที่มิจฉาชีพส่งมาให้ดูผ่านช่องทางไลน์นั้นเป็นข้อมูลที่ถูกต้องทุกอย่าง หลังจากนั้นตนเองก็ได้ตอบกลับไปทางไลน์ว่าถูกต้องครับ ต่อมามิจฉาชีพได้ส่งเป็นลิงก์ของกระทรวงพาณิชย์ มีโลโก้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน หลังจากที่มิจฉาชีพส่งเข้ามา ตนเองก็กดลิงก์ทันที หลังจากนั้นหน้าจอโทรศัพท์ก็กลายเป็นสีดำ และมีตัวเลขวิ่งอยู่ที่หน้าจอ ในขณะนั้นตนเองก็มั่นใจแล้วว่าถูกแฮกข้อมูลและถูกดูดเงินออกจากบัญชีอย่างแน่นอน เพราะมีข้อความเข้าในโทรศัพท์อีกเครื่องว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีถึง 3 ครั้ง



โดยยอดแรกนั้นได้โอนเงินออกจากบัญชีธนาคารแห่งหนึ่งของตัวเอง ถูกโอนไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อ บัญชี น.ส.สุพรรณษา เป็นจำนวน 1,400,000 บาท เวลา 14.05 น. ครั้งที่ 2 ได้มีการโอนเงินจากบัญชีธนาคารไปยังบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.ศิริวรรณ จำนวน 89,000 บาทเวลา 14.07 น. และในครั้งที่ 3 ได้มีการโอนเงินจากบัญชีธนาคารไปยังบัญชีพร้อมเพย์ ชื่อบัญชี น.ส.สุพรรณษา จำนวน 47,355 บาท เวลา 14.09 น. โดยแต่ละบัญชีใช้ระยะเวลาห่างกัน 2 นาที

นายวีรพันธ์ กล่าวต่อว่า ตนเองรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมพวกมิจฉาชีพพวกนี้ จึงรู้ข้อมูลของตนได้อย่างละเอียด แม้จะถามอะไรไปก็ตอบได้ถูกต้องหมดทุกอย่าง แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้ตนเองหลงเชื่อได้อย่างไร ซึ่งตนมองว่า ข้อมูลดังกล่าว มันอยู่ในระบบของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น แต่พวกนี้เอามาได้อย่างไร ซึ่งความสูญเสียในครั้งนี้เป็นเงินจำนวนมาก ไม่รู้จะเรียกร้องจากใครได้ ไม่ว่าทางธนาคารที่ยุ่งยาก กว่าจะโทรไปอายัดก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง ซ้ำเมื่อแจ้งให้ช่วยอายัดก็ยังไม่สามารถทำได้ ต้องให้ทางตำรวจเท่านั้นถึงจะดำเนินการได้ ทางตำรวจก็ไม่มีอะไรคืบหน้า

นายวีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองก็อยากจะฝากเตือนประชาชนทุกคนให้ระวัง อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ แม้ตนเองยอมรับว่าระมัดระวังที่สุดแล้วก็ยังหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อจนสูญเงินนับล้านบาท และอยากจะฝากถึงทางธนาคาร น่าจะมีการปรับปรุงระบบการป้องกันให้เท่าทันมิจฉาชีพพวกนี้ อย่างเช่น การโอนเงิน ควรจะใช้ระบบสแกนใบหน้า แต่ไม่ใช่ภาพนิ่ง ให้ใช้เป็นภาพเคลื่อนไหว เพราะเชื่อว่าจะป้องกันได้ และในเบื้องต้นขณะนี้ ตนเองป้องกันด้วยการซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ ที่ใช้เฉพาะแอปธนาคารเพื่อใช้เกี่ยวกับธุรกรรมเท่านั้น ไม่โหลดลิงค์ ไม่โหลดไลน์หรือไม่ใช้เฟซบุ๊กและต่อไวไฟแต่อย่างใด และปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้ จะเปิดเมื่อโอนทำธุรกรรมเท่านั้น