พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กลาโหม​ แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่องการฉีดวัคซีน​ที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ว่าขณะนี้ได้มีการกระจายวัคซีนไปทั่วประเทศมากกว่า 7 ล้านโดส และฉีดวัคซีนไปได้มากกว่า 6.5 ล้าน หากวัคซีนเข้ามามากกว่านี้ก็จะสามารถฉีดให้ประชาชนได้ จำนวนมากกว่านี้และเป็นไปตามกำหนด ซึ่งถือว่าเป็นความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนในจุดบริการ พร้อมขอขอบคุณไปยังบุคลากรทางการแพทย์จิตอาสา ในการอำนวยความสะดวก ซึ่งตนได้รับคำชมเชยจากประชาชนมาโดยตลอด

ส่วนประเด็นสำคัญในการระดมฉีดวัคซีนที่จะทำให้ได้อย่างต่อเนื่องคือการจัดสรรวัคซีน ไปยังจุดบริการทั่วประเทศอย่างทั่วถึงและพอเพียง ตนได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง พร้อมยังชี้แจงกรณีการประกาศเลื่อนฉีดวัคซีนที่อาจทำให้ประชาชนไม่พอใจ ซึ่งข่าวนี้ตนเองได้รับทราบมาโดยตลอด และพยายามแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องโดยยืนยันว่าตนเองก็ไม่สบายใจต่อเรื่องนี้เช่นเดียวกัน และจะพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวัน อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปริมาณวัคซีนที่จะทยอยเข้ามา เพราะหากเร่งฉีดไปเลย แล้ววัคซีนหมดก็ต้องหยุดฉีด

สำหรับภาพรวมการฉีดวัคซีน นายกรัฐมนตรี ยืนยัน​ว่า ตนเองไม่ได้รวบอำนาจไว้คนเดียว โดยอันดับแรกคือศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.)​ ที่เป็นหน่วยงานสูงสุดและมีหน่วยงานอื่นๆ อยู่ภายใต้ ศบค. ซึ่งดูภาพรวมการจัดการสถานการณ์โควิดและการฉีดวัคซีน​ และรับผิดชอบในการกำหนดนโยบายและการจัดสรรวัคซีนให้แต่ละจังหวัด ที่จะพิจารณาตามจำนวนประชากรในแต่ละจังหวัด และเพิ่มเติมให้กับจังหวัดที่มีการระบาด จังหวัดที่มี ความจำเป็นด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวการศึกษา และอื่นๆ

ลำดับที่ 2 จะเป็นกระทรวงสาธารณสุข ที่จะบริหารจัดการวัคซีนที่ได้รับในแต่ละรอบ ว่าจะจัดส่งให้แต่ละจังหวัดจำนวนเท่าใด โดย จะกระจายทันทีที่ได้รับการจัดสรร แต่จะต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งในการตรวจสอบคุณภาพด้วย

ลำดับที่ 3 คือ ความรับผิดชอบแต่ละจังหวัด ที่กำหนดว่าแต่ละโรงพยาบาลและทุกจุดฉีดในจังหวัดนั้นๆ จะได้รับวัคซีนเป็นจำนวนเท่าใด พร้อมจะส่งให้เร็วที่สุด โดยต้องคำนึงถึงความต่อเนื่องและราบรื่น เพราะวัคซีนที่ได้รับเข้ามาเป็นการทยอยจัดส่ง

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำด้วยว่า สูตรการกระจายวัคซีนคือเมื่อกระทรวงสาธารณสุข ได้รับวัคซีน จะต้องตรวจสอบและส่งให้จังหวัดทันที ไม่มีจังหวัดไหนที่จะไม่ได้รับในรอบถัดไป ยกเว้นจังหวัดที่ได้ครบจำนวนตามเป้าหมายแล้ว หรือบางจังหวัดที่ ศบค.พิจารณา​ว่ายังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ขณะเดียวกันต้องพิจารณาตามปัจจัยต่างๆของแต่ละจังหวัด เช่น จำนวนประชากร จำนวนผู้ติดเชื้อ กลุ่มเฉพาะพื้นที่เสี่ยง หรือพื้นที่เศรษฐกิจ ทั้งนี้ หากจำนวนมากสิ่งที่ได้มาไม่เพียงพอ ให้แต่ละจังหวัดหยุดฉีดและพิจารณาจัดสรรให้ผู้สูงอายุ และกลุ่มเสี่ยงที่ลงทะเบียนไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องชะลอ​การฉีดวัคซีนตามกำหนดเดิม จะได้รับการฉีดทันทีเมื่อได้รับการจัดสรรวัคซีนมา ซึ่งเชื่อว่า ทุกฝ่ายมีความพยายามและตั้งใจทำงานอย่างทุ่มเท เพื่อประชาชนให้ดีที่สุด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก คือ ระยะเวลาในการจัดส่งวัคซีน และการตรวจสอบคุณภาพที่ไม่สามารถกำหนดวันที่ชัดเจนได้ ซึ่งหลายประเทศก็เจอปัญหาเช่นนี้

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ภารกิจในครั้งนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก มีผลกระทบต่อประชาชนกว่า 70 ล้านคน ที่อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนในการประสานงานกันระหว่างหน่วยงาน อย่างไรก็ตาม ตนเองได้สั่งการให้แต่ละหน่วยงานไปปรับปรุงเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชน ตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีและผอ.ศบค. ที่ถือว่าเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในสงครามโควิดครั้งนี้ ต้องขออภัยกับปัญหาที่เกิดขึ้นและขอรับผิดชอบต่อปัญหาทั้งหมด โดยทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันในการดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จเพื่ออนาคตของประเทศชาติ แม้ปัญหาจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า จะได้รับวัคซีนมาอย่างต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อยๆ และเพียงพอต่อคนไทยทุกคนซึ่งขณะนี้สามารถจัดสรรวัคซีนได้ 100 ล้านโดส เพียงพอต่อประชาชน 50 ล้านคนหรือ 70% ของประเทศ ภายในสิ้นปีนี้ อีกทั้งยังเตรียมการเพื่อปี 65 ด้วย ตั้งเป้า 80-90%

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าวันนี้เราพูดจากันไม่ดีเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาล และคนจำนวนหลายหมื่นคนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้างานก็ท้อแท้หมดกำลังใจเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องประสานงานกันให้ได้ ทั้งระดับบน ระดับกลาง และระดับล่าง พร้อมขอร้องสื่อให้ความร่วมมือด้วย

นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ต้องไม่มีการทุจริตวัคซีนโดยเด็ดขาด ซึ่งเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า จะต้องผ่านสงครามโควิดครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างแน่นอน