แม่เครียด หากตำรวจพักคดีน้องชมพู่ เชื่อหลังจากนี้คงมองหน้ากับลุงพลไม่ติด ขณะที่ด้านลุงพล โวยดำนาสร้างภาพ ไม่ใช่การสร้างความสัมพันธ์

เป็นเวลากว่า 67 วันแล้ว คดีน้องชมพู่ ล่าสุดได้มีการพูดถึงหลักฐานบางอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะกางเกงของน้องชมพู่ ที่ถูกถอดทิ้งไว้อย่างเป็นระเบียบ โดยปราศจากร่องรอยของ ปัสสาวะ หรือ อุจจาระ ซึ่งขัดต่อวิสัยของเด็ก ที่หายไปกว่า 3-4 วัน นั้นอาจแปลว่าต้องมีคนถอดให้น้อง

คุณพนิตนาฏ พรหมบังเกิด ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปพูดคุยกับแม่น้องชมพู่ พร้อมแม่ให้สาธิตวิธีการถอดกางเกงของน้อง โดยแม่บอกว่าน้อยครั้งมาก ที่น้องจะถอดกางเกงเอง ประกอบกับ ถ้าน้องปวดปัสสาวะหนักๆ และ ถอดไม่ทัน ก็จะปัสสาวะราดเลย หรือ ถ้าถอดกางเกงได้ ก็จะกองกางเกงไว้ที่พื้นแบบนั้น พร้อมเชื่อว่า น้องไม่ถอดกางเกง แล้วเอามาพาดไว้เองแน่ๆ - ทั้งๆ ที่กำลังจะเสียชีวิต รวมถึงเสื้อน้อง ถ้าน้องถอดก็ต้องถูกอยู่แถวนั้น จึงเชื่อว่าต้องมีคนพาน้องชมพู่ไปอยู่ดี

ส่วนเรื่องที่ว่า ตำรวจจะมีการพักคดี เพราะ ยังไม่มีหลักฐานเอาผิดตัวคนร้าย แม่ชมพู่ ยอมรับว่า รู้สึกเครียดกับประเด็นนี้ เพราะ เมื่อตำรวจจับคนร้ายไม่ได้ ก็ทำให้ครอบครัวตกอยู่ในอันตราย และ ไหนจะเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวกับลุงพล ที่เชื่อว่าหลังจากนี้คงมองหน้ากันไม่ติด เพราะ ต่างคลางแคลงใจกัน

ขณะที่ด้านลุงพล เปิดใจว่า หากตำรวจมีการพักคดีจริงๆ ก็อยากให้ไปถามทางแม่น้องชมพู่มากกว่า ว่า จะรับได้หรือไม่ สำหรับเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวหลังจากนี้ตัวเองก็อยากให้สื่อเป็นกลางในการที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ เพราะ ถ้าหากคุยกันโดยไม่มีคนกลางคงจะทะเลาะกันอย่างแน่นอน พร้อมบอกอีก ว่า เมื่อวานดูข่าว ก็เพิ่งรู้ว่าแม่น้องชมพู่ไปดำนา ที่นาของพ่อตา ซึ่งหากต้องการสร้างความสัมพันธ์จริงๆ ผู้ใหญ่บ้านควรไปจัดงานในที่นาของพ่อตาเลย จึงคิดว่าเป็นการสร้างภาพมากกว่า

ส่วนทางด้านของคดีความ ชุดคลี่คลายได้มีการตั้งข้อสันนิษฐาน 3 ข้อ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ข้อสันนิษฐานแรก ถ้าน้องชมพู่เดินขึ้นไปบนเขา และ เสียชีวิตเอง ตามที่แพทย์นิติเวชตั้งสมมติฐานจากผลทางนิติวิทยาศาสตร์ ก็สอดรับกัน ว่า ตามร่างกายของน้อง ไม่มีร่องรอยการทำร้ายร่างกาย หรือ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งข้อนี้ตำรวจลงความเห็นเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ต่อมา ข้อสันนิษฐานที่ 2 ถ้าน้องถูกพาขึ้นไป (ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม) และ มีการทรมาน โดยการไม่ให้กินน้ำ กินอาหาร เพื่อที่จะให้ร่างกายอ่อนเพลีย ก่อนที่คนร้ายจะใช้มือ หรือ ผ้า อุดปาก-อุดจมูก ให้น้องเสียชีวิต ซึ่งจะสอดรับกับผลนิติศาสตร์ที่ว่า ผิวหนังด้านนอกแข็งกร้าน แต่ด้านในเน่าเร็วผิดปกติ ซึ่งตำรวจลงความเห็นเพียงแค่ 30 เปอร์เซ็นต์

ข้อสุดท้าย ซึ่งถือว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด และ ตำรวจให้น้ำหนักถึง 80 เปอร์เซ็นต์ นั้นคือ คนร้ายมีการลักพาตัวน้องไปซ่อนไว้ หรือ อาจจะพาขึ้นเขาไปในวันที่ 11 แต่ตลอดระยะเวลาที่น้องอยู่กับคนร้ายนั้น ไม่ได้ให้น้องกินน้ำ หรือ กินอาหาร เพราะ จงใจที่จะทรมานเด็ก กระทั่ง เมื่อไปถึงจุดที่พบศพ จึงถอดกางเกง รองเท้า และ วางของเล่นไว้ เพื่อจัดฉากอำพราง และปล่อยน้องทิ้งไว้บนเขาเพียงลำพังจนเสียชีวิตเอง

หลังจากนี้ หากมีการสืบสวนสอบสวนที่ครบรอบด้านแล้ว แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าคนร้ายคือใคร หรือ การเสียชีวิตนั้น ตำรวจมีความจำเป็นจะต้องงดการสอบสวนไว้ก่อนได้ และ จะรวบรวมสำนวนที่มีส่งอัยการ แต่ฝ่ายสืบสวนยังคงทำงานต่อและหากพบพยานหลักฐานใหม่ ก็สามารถส่งให้กับพนักงานสอบสวนทำคดีได้เช่นเดิม

ขณะที่ด้าน นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาธนบุรี สำนักงานอัยการสูงสุด วิเคราะห์ว่าคดีนี้อาจจะต้องใช้เวลาหลายปี เพราะ ตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด แนะตำรวจยุติการสอบสวนเพื่อรวบรวมหลักฐานใหม่ทั้งหมดให้ครบถ้วนก่อน

ส่อพักคดี "น้องชมพู่" - ลุงพลโวยดำนาสร้างภาพ