"ดีเอสไอ ร่วมกับกรมสรรพากร" ใช้มาตรการเด็ดขาด เรียกเก็บภาษีย้อนหลัง เจ้าหนี้ปล่อยเงินกู้นอกระบบ ประเดิม จังหวัดชัยภูมิ และ จังหวัดเพชรบูรณ์ บางรายมีเงินในบัญชีธาคารกว่า 1 พันล้านบาท แต่ยื่นแบบเงินได้เพียง 160 ล้านบาท

พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ดีเอสไอ ได้ร่วมมือกับ กรมสรรพากร ในการประสานความร่วมมือดำเนินมาตรการทางภาษี กับนายทุนเงินกู้นอกระบบ เพื่อผลักดันให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาดำเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้ถูกต้อง

หลังจากมีประชาชน จังหวัดชัยภูมิ และ จังหวัดเพชรบูรณ์ ร้องเรียนขอให้ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการตรวจสอบการกระทำของเจ้าหนี้นอกระบบ ที่มีพฤติการณ์ปล่อยเงินกู้นอกระบบให้ประชาชน

โดยเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตรา ที่กฎหมายกำหนด และให้ลูกหนี้ลงชื่อในเอกสาร เพื่อใช้โฉนดที่ดินและทรัพย์สินต่างๆ เป็นหลักประกันเงินกู้ เมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้จะมีการบังคับตามสัญญาประกันจนชาวบ้าน ถูกบังคับคดียึดบ้านและที่ดินเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบว่า เจ้าหนี้ที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบ มีบัญชีเงินฝากจำนวนหลายสิบบัญชี และได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มาเป็นจำนวนมาก โดยหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงได้ประสานข้อมูลให้กรมสรรพากร ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะแก่เจ้าหนี้นอกระบบ จังหวัดชัยภูมิ ตั้งแต่ปีภาษี 2550-2555 เป็นเงินรวมประมาณ 230 ล้านบาท

และจากการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงปี 2556- 2560 เจ้าหนี้รายนี้ มีเงินนำฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารกว่า 152 ล้านบาท แต่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แค่ 5 ล้านบาท

สำหรับเจ้าหนี้นอกระบบใน จังหวัดเพชรบูรณ์ จากการตรวจสอบพบว่า ระหว่างปี 2553-2559 พบว่าเจ้าหนี้รายที่ 1 มีเงินมาฝากในบัญชี 1 พันล้านบาท แต่ยื่นแบบเงินได้จำนวน 160 ล้านบาทเศษ ส่วนเจ้าหนี้รายที่ 2 และ ภรรยามีเงินมาฝากในบัญชี 260 ล้านบาท แต่ยื่นแบบเงินได้ 12 ล้านบาท พร้อมกับ ได้กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองในที่ดินเป็นกว่า 1,823 ไร่

จึงส่งเรื่องให้กรมสรรพากร ตรวจสอบมีการหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่ ก่อนเรียกมารับทราบข้อหา ในความผิดฐานหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร

ขณะนี้ อยู่ระหว่างพิจารณาพยานหลักฐาน เพื่อสรุปสำนวนการสอบสวน ส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ที่คิดจะกระทำผิดในลักษณะเดียวกันอีก