"ปานเทพ" ชี้แจงกรณีมีชื่อเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา MOU ปี 2543-2544 ระหว่างไทย–กัมพูชา ภายหลังการลาออกของนายไชยชนก ชิดชอบ จากตำแหน่งประธาน ยืนยันไม่ได้เข้ามาในนามพรรคภูมิใจไทย แต่ทำงานในนามส่วนตัว ยันจุดยืนคัดค้านและผลักดันให้มีการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 31 ต.ค. 2568 ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แถลงชี้แจงกรณีมีชื่อปรากฏในการเสนอเข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา ภายหลังการลาออกของนายไชยชนก ชิดชอบ จากตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ

นายปานเทพ เผยว่า การมีชื่อเข้าเป็นกรรมาธิการครั้งนี้ เกิดจากการเสนอของนายสฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นผู้ขอให้ตนเองเข้ามาทำหน้าที่ที่ปรึกษาในคณะกรรมาธิการตั้งแต่ต้น เนื่องจากเห็นว่าตนเองมีความเห็นทางวิชาการและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะในฐานะผู้ไม่เห็นด้วยกับบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับ จึงได้เสนอชื่อให้เข้ามาเป็นกรรมาธิการแทนตำแหน่งที่ว่าง ไม่ใช่ประธานกรรมาธิการ และยืนยันว่าตนเองไม่เคยร้องขอให้เสนอชื่อตนเองแต่อย่างใด

นายปานเทพ กล่าวเพิ่มว่า การจัดตั้งคณะกรรมาธิการชุดนี้มีที่มาจากญัตติของนายสฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ที่เสนอให้ยกเลิก MOU 2543 และ 2544 ซึ่งต่อมาพรรคภูมิใจไทยได้เสนอรายชื่อกรรมาธิการในสัดส่วนของตนตามโควตาพรรคในรัฐบาลชุดก่อน โดยกระบวนการจัดสรรตำแหน่งในคณะกรรมาธิการต้องเป็นไปตามสัดส่วนของจำนวน สส.ในสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยซึ่งมีจำนวน สส.ไม่มากนักเป็นเสียงส่วนน้อยในคณะกรรมาธิการ ขณะที่พรรคเพื่อไทยในฐานะรัฐบาลเดิม มีสิทธิ์เสนอชื่อเพิ่มเติมในนามรัฐบาล ทำให้องค์ประกอบของกรรมาธิการส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีแนวโน้มปกป้องบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับ

นายปานเทพ ย้ำว่า การเข้ามาทำหน้าที่ครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเป็นตัวแทนของพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นการทำงานในนามของตนเอง เพื่อยืนยันจุดยืนในการคัดค้าน MOU 2543 และ 2544 โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงท่าที ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทยจะเสนอให้เป็นกรรมาธิการ ที่ปรึกษา หรือไม่ได้เสนอชื่อเลยก็ตาม

สำหรับบรรยากาศภายในคณะกรรมาธิการ นายปานเทพ กล่าวว่า จากการเข้าร่วมประชุมแทบทุกครั้ง พบว่าบรรยากาศการประชุมเปลี่ยนไปตามบทบาทของประธาน โดยระบุว่า นายไชยชนก ชิดชอบ ซึ่งเป็นประธานคนเดิม มีแนวคิดเห็นด้วยกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับ แต่ในช่วงที่นายไชยชนกไม่อยู่ การประชุมมักมีทิศทางต่างออกไป

นายปานเทพ ยังเปิดเผยว่า นายไชยชนกได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการจากเสียงสนับสนุนเพียงประมาณ 6 เสียง จากสมาชิกกว่า 30 คน เนื่องจากคู่แข่งในการเสนอชื่อตำแหน่งประธานได้ถอนตัว ทำให้นายไชยชนกได้รับตำแหน่งโดยไม่มีการลงมติแข่งขัน และเมื่อเจ้าตัวตัดสินใจลาออก พรรคภูมิใจไทยจึงพิจารณาตามข้อเสนอของนายสฤษฎ์พงษ์ ให้ตนเองเข้ามาแทนตำแหน่งกรรมาธิการ ซึ่งไม่มีสมาชิกพรรคคนใดคัดค้าน

นายปานเทพ กล่าวถึงเหตุผลการลาออกของนายไชยชนกว่า เท่าที่ทราบ สาเหตุหลักมาจากภาระงานในฐานะรัฐมนตรี ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา ขาดการประชุมไปอย่างน้อย 4 ครั้งจากทั้งหมดราว 7 ครั้ง และขณะทำหน้าที่ประธานก็มีภารกิจอื่นโทรเข้ามาตลอดเวลา จึงเชื่อว่าเป็นเหตุผลด้านเวลาและภาระงานจริง

อย่างไรก็ตาม นายปานเทพ เห็นว่า การลาออกครั้งนี้อาจมีเหตุผลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อมีการเลือกประธานคนใหม่

นายปานเทพ ยืนยันว่า การเข้ามารับหน้าที่กรรมาธิการในครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าตนจะทำงานในนามพรรคภูมิใจไทย แต่จะทำหน้าที่ในฐานะผู้มีจุดยืนชัดเจนในการยกเลิก MOU 2543 และ 2544 โดยจะใช้โอกาสในที่ประชุมกรรมาธิการ และหากมีการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ก็พร้อมชี้แจงอย่างเต็มที่ตามสิทธิ์ที่พึงมี เพื่อผลักดันจุดยืนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมยืนยันว่าแนวทางนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม