ช่อง 8 แฉขบวนการแรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย ซ่อนตัวทำงานในโกดังแถบชายแดนสระแก้ว ชาวบ้านร้องเรียนพบเพิ่มขึ้นทุกวัน วอนตำรวจ-ข้าราชการท้องถิ่นจัดระเบียบกวาดล้างจริงจัง
วันที่ 6 ต.ค. 2568 นายถุงทอง (นามสมมติ) เปิดเผยกับทีมข่าวออนไลน์ช่อง 8 ว่า ตั้งแต่ช่วงวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2568 ที่มีการอพยพ พบว่า แรงงานชาวกัมพูชาเริ่มหายไปเนื่องจากเดินทางกลับประเทศของพวกเขา ซึ่งหลงเหลืออยู่ในพื้นที่ตลาดชายแดนประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่เมื่อผ่านไปไม่นาน เข้าสู่เดือนสิงหาคม พบว่า กลุ่มแรงงานชาวกัมพูชามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และกลับมาทำงานในตลาดเพิ่มมากขึ้น ทำให้ตนตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ที่ทางการสั่งปิดด่าน และไม่ให้กัมพูชาเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย เป็นไปได้หรือไม่ที่แรงงานเหล่านี้จะลักลอบข้ามแดนผ่านมาทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อมาทำงานในประเทศไทยอีกครั้ง
นอกจากนี้ นายถุงทอง ยังได้เปิดเผยข้อมูลกับทีมข่าวอีกว่า ตนได้ไปสอบถามกับแรงงานชาวกัมพูชาที่ทำงานภายในตลาดประมาณ 3-4 คน จึงทราบว่า รายงานกลุ่มนี้เข้ามาทางช่องทางธรรมชาติจริง บางคนข้ามคลองมา บางคนเข้ามาทางป่าอ้อย ตนจึงแกล้งถามไปว่าจ่ายคนละเท่าไหร่ ซึ่งกรมแรงงานกลุ่มนั้นก็บอกว่าจ่าย 3,000-5,000 บาท ขึ้นอยู่กับความสนิทและรู้จักกับคนที่พาข้ามมาที่ประเทศไทย ใครรู้จักก็จะจ่ายน้อย ใครที่ไม่รู้จักก็จะต้องจ่ายเยอะ
เมื่อสอบถามว่า ที่ข้ามมาติดต่อคนไทยหรือไม่ แรงงานชาวกัมพูชาก็บอกว่าไม่ใช่ ติดต่อชาวกัมพูชาด้วยกันเอง ร้านคนกัมพูชาก็จะประสานกับคนไทย เพื่อให้รถมารอรับ ซึ่งแรงงานบางส่วนก็บอกว่ามาทางช่องทางธรรมชาติในบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และทางผ่านศึก ซึ่งคนกลุ่มนี้ที่นำพาแรงงานมาส่งเป็นรอบๆ ซึ่งตนก็พยายามสอบถามซ้ำอีกครั้ง รายงานกลุ่มนี้ก็ยังให้ข้อมูลแบบเดิม นายถุงทองยังสันนิษฐานอีกว่า การพาแรงงานลอบข้ามชาติเหล่านี้เข้ามาที่ประเทศไทย จะมีรถที่ใช้สำรวจเส้นทางก่อนทุกครั้งเพื่อดูเจ้าหน้าที่ หากปลอดเจ้าหน้าที่ก็จะใช้เส้นทางนั้นลำเลียงแรงงานมายังตลาดในพื้นที่
นอกจากนี้ นายถุงทองยังเปิดเผยกับทีมข่าวอีกว่า กลุ่มแรงงานชาวกัมพูชาที่ลักลอบเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ จะไปกบดานอยู่ในโกดังสินค้า ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้จะได้รับค่าจ้างเป็นเงินต่อจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ ยกตัวอย่าง หากมีแรงงาน 10 คน แล้วมีตู้คอนเทนเนอร์เข้าหนึ่งตู้ ก็จะหารตกคนละ 500 บาท และหากหนึ่งวันมีตู้คอนเทนเนอร์เข้ามากกว่าหนึ่งตู้ก็จะได้รับค่าจ้างเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังเปิดเผยอีกว่า แรงงานกลุ่มนี้ 99 เปอร์เซนต์ เป็นแรงงานผิดกฎหมายไม่มีใบอนุญาต
เมื่อทีมข่าวสอบถามว่า แบบนี้ตำรวจในพื้นที่ไม่เข้าไปตรวจสอบเลยหรือ นายถุงทองบอกว่า ตนเคยสอบถามตำรวจก็ทราบว่าเจ้าของโครงการไม่อนุญาตให้ตำรวจเข้าไปในพื้นที่ ยิ่งเป็นนักข่าวยิ่งไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้เลย ยิ่งหากรู้ว่ามีนักข่าวหรือตำรวจลงมาในพื้นที่ จะมีกลุ่มคนที่คอยแจ้งข่าวให้กับรายงานชาวกัมพูชาได้ทราบ และรีบหลบหนี บางคนก็รีบปิดร้าน เพื่อไม่ให้นักข่าวและตำรวจเห็น
เมื่อเข้าพื้นที่ไม่ได้ นายถุงทองจึงอาสาพาทีมข่าวออนไลน์ช่อง 8 เข้าไปยังโกดังแห่งหนึ่ง และบอกว่าโกดังแห่งนี้มีชาวกัมพูชาที่เข้ามาทำงานแบบผิดกฎหมายอยู่มาก ซึ่งตลอดระยะทางที่ทีมข่าวเข้าไปตรวจสอบกว่า 132 โกดัง ก็พบว่ามีแรงงานชาวกัมพูชาที่แบกหามสินค้าอยู่ภายในโกดังหลายจุด เมื่อมีรถเข้าไปแรงงานกลุ่มนี้มักจะมองมาที่รถทุกคันอยู่ตลอดเวลา
สุดท้าย นายถุงทอง ฝากทีมข่าวไปยังหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องว่า อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ให้ดำเนินการจัดระเบียบแรงงานใหม่ รวมถึงให้แก้ไขและเอาจริงเอาจังกับกลุ่มแรงงานที่ลักลอบเข้าเมืองเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติต่อไป