คลิปเสียงร้อน! "ฮุนเซน" ส่อผิด ม.116 ปมไล่ล่าผู้เห็นต่างในไทย ตำรวจส่งสำนวนถึงอัยการสูงสุด
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำสำนวนคดีคลิปเสียงที่เชื่อว่าเป็นของสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งกล่าวอ้างว่ามีการสั่งไล่ล่านักการเมืองฝ่ายค้านที่ลี้ภัยอยู่ในไทย มอบให้อัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาดำเนินคดีในฐานความผิดนอกราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 โดยมี น.ส.ฐิติวดี สินธวณรงค์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับมอบสำนวนจำนวน 50 แผ่น
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ เปิดเผยว่า สำนวนดังกล่าวสืบเนื่องจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีต ผบ.ตร. ได้ยื่นร้องทุกข์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยอ้างถึงคลิปเสียงที่ปรากฏในสื่อต่างประเทศ ซึ่งกล่าวหาว่าสมเด็จฮุนเซนมีคำสั่งให้ผู้ใกล้ชิดนำตัวนักการเมืองฝ่ายค้านกลับกัมพูชา "ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม"
การสืบสวนพบว่า คดีอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เมื่อปี 2566 ที่นายพร พันนา นักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกทำร้ายร่างกายที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ก่อนจะลี้ภัยไปสหรัฐฯ รวมถึงคดีลอบสังหารนายลิม กิมยา นักการเมืองฝ่ายค้านอีกราย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี้ที่ย่านบางลำภู โดยทั้งสองคดีมีรูปแบบพฤติการณ์คล้ายกัน
นอกจากนี้ ยังมีพยานหลักฐานในคลิปเสียงระบุชื่อ “นายเคลียง ฮวด” ลูกน้องคนสนิทของสมเด็จฮุนเซน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม
คณะพนักงานสอบสวนจึงเห็นว่า ผู้ที่อาจตกเป็นผู้ต้องหาอย่างแน่ชัดในคดีนี้คือ สมเด็จฮุนเซน ซึ่งอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ส่วนบุคคลอื่น เช่น นายฮวด จะตกเป็นผู้ต้องหาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการสอบสวนเพิ่มเติมโดยอัยการสูงสุด
ขั้นตอนหลังจากนี้ หากอัยการสูงสุดเห็นควรแจ้งข้อหา จะเข้าสู่การขอหมายจับจากศาล และหากศาลอนุมัติ จึงจะสามารถประสานตำรวจสากลออกหมายแดงได้ เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดอยู่นอกราชอาณาจักร
สำหรับคดีคลิปเสียงอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหาสื่อถึงการสนทนาระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ เปิดเผยว่า ทาง บก.สอท.1 ได้ประชุมร่วมกับสำนักงานการสอบสวนของอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 1 ส.ค. เพื่อกำหนดแนวทางในการสอบสวนบุคคลเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะสรุปสำนวนได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
น.ส.ฐิติวดี กล่าวว่า จะส่งสำนวนคดีที่ได้รับในวันนี้ให้สำนักงานการสอบสวนของอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาว่า คดีนี้เข้าข่ายความผิดนอกราชอาณาจักรหรือไม่ ซึ่งจากพฤติการณ์เบื้องต้น คาดว่าน่าจะเข้าข่ายตามกฎหมาย โดยจะเสนอความเห็นให้ท่านอัยการสูงสุดพิจารณาสั่งการต่อไป ทั้งนี้ กรอบเวลาการพิจารณาขึ้นอยู่กับรายละเอียดของสำนวนที่ต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ