แม่เฒ่าวัย 84 น้ำตาไหล ตามหาหลานวัย 64 หลังหายไปไร้ร่องรอยกว่า 5 ปี เหลือที่ดินผืนสุดท้ายมรดกจากตายาย ขอให้กลับมารับ

วันที่ 22 ก.ค.2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปที่บ้านหนองกุง หมู่ 17 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น พบกับนางพิศมัย ติวเฮือง อายุ 84 ปี (น้าสาวคนหาย) เจ้าของบ้าน ซึ่งแจ้งเรื่องมาหาผู้สื่อข่าวขอให้ช่วยตามหาหลานสาว คือ นางสาวสุดารัตน์ นามวิจิตร ชื่อเล่น แวว อายุ 64 ปี ลูกสาวคนเดียวของพี่สาวคนโตซึ่งเสียชีวิตแล้ว โดยหลานสาวได้เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของออกจากบ้านไปตั้งต้นชีวิตใหม่หลังจากจัดงานศพให้แม่เสร็จเมื่อ 5 ปีก่อน และไม่สามารถติดต่อได้อีก

โดยคุณยายอยากให้หลานสาวกลับมาอยู่บ้านด้วยกัน และมารับส่วนแบ่งมรดกเป็นที่ดินผืนสุดท้ายเนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 23 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินของพ่อแม่ตนเองหรือตายายของแวว ที่เป็นสิทธิมอบให้แม่แววเนื้อที่ 1 ใน 6 ของที่ดินทั้งหมด จะได้เป็นต้นทุนใช้ชีวิต ญาติๆ ก็แก่เฒ่าลงทุกวันไม่นานก็ต้องตายจากกันตามกาลเวลา ถ้าหลานสาวเห็นข่าวก็อยากให้หลานสาวกลับมารับที่ดินมรดก และไม่ต้องไปไหน มาอยู่กับน้า กับน้องๆ ไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

โดยช่วงที่นางพิศมัย ยายของแวว ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว พร้อมกับนำรูปถ่ายของหลานสาวที่มีอยู่เพียง 2 ใบตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น และโฉนดที่ดินส่วนของครอบครัวหลานสาวมาให้กับผู้สื่อข่าวดู ซึ่งนางพิศมัยได้นำผ้ามาเช็ดน้ำตาอยู่เป็นระยะเพราะความคิดถึงหลานสาว ซึ่งมีนางสุดารัตน์ พิลา อายุ 55 ปี และนางพรนิภา สีมาตรย์ อายุ 52 ปี ลูกสาวของนางพิศมัย และเป็นน้าสาวของแวว คอยดูแลแม่อยู่ที่บ้าน

นางพิศมัย เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า แวว เป็นลูกสาวคนเดียวของพี่สาวคนโตตนเอง โดยแววได้ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตของตัวเองหลังจากจัดพิธีศพของแม่ตัวเองเรียบร้อย แววได้เก็บของใช้ส่วนตัวและเอกสารสำคัญต่างๆ ของตัวเองและพ่อแม่ไปด้วย บอกเพียงว่าจะไปขายส้มตำกับเพื่อนที่บ้านโคกสี ต.โคกสี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งตนเองก็ให้เงินติดกระเป๋าไปเป็นทุนจำนวนหนึ่ง และพยายามติดตามถามข่าวหลานตลอด แต่ก็ไม่สามารถติดตามหรือเจอตัวได้ และไม่มีข้อมูลในพื้นที่ว่าหลานสาวไปขายส้มตำ อีกทั้งรู้ว่าไม่มีเพื่อนขายส้มตำที่หมู่บ้านดังกล่าวด้วย ปัจจุบันผ่านไปกว่า 5 ปีแล้ว ไม่รู้ชะตากรรมหลานสาวว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะแววไม่เคยติดต่อกลับมาบ้านเลย ทิ้งเพียงกระเป๋าเป้ใบใหญ่สีดำ ซึ่งภายในมีพระพุทธรูปแก้ว และตะกร้าเก่าของแม่ไว้ให้ดูต่างหน้า โดยเมื่อค้นดูในกระเป๋าพบเพียงรูปหลานสาว 2 ใบ และก่อนที่หลานสาวจะออกจากบ้านไป ก็ไม่ได้มีการทะเลาะหรือผิดใจอะไรกับใคร แต่พอหลานสาวหายไปนานก็รู้สึกเป็นห่วงหลานสาว เพราะก่อนหน้าก็เคยมาพักมานอนอยู่กับน้าตลอด ตอนนี้ตนเองคิดถึงหลานสาวมาก อยากให้กลับมาอยู่ด้วยกัน เพราะไม่นานก็จะตายจากกันแล้ว

นางพิศมัย บอกอีกว่า ตอนนี้ตนเองก็แก่มากแล้ว พี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 6 คนก็พากันล้มหายตายจากไปจะหมดแล้ว จึงอยากตามหาหลานสาวให้กลับมาอยู่กับน้า มาอยู่เป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องไปอยู่ที่อื่น ทั้งนี้ยังอยากให้แววกลับมารับส่วนแบ่งมรดกที่นาผืนสุดท้าย ที่ตาและยายของหลานทิ้งไว้ให้ลูกทั้ง 6 คนได้ใช้ทำกิน ซึ่งตนเองก็อยากจะแบ่งให้ลูกๆ หลานๆ ของพี่น้องทุกคนที่มีสิทธิ์ในที่ดินผืนนี้ ก่อนที่ตนเองจะตายจากไปให้เรียบร้อย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มากมายแต่ก็น่าจะพอเป็นทุนไว้กินไว้ใช้ยามแก่เฒ่าได้ ส่วนบ้านก็มาพักอาศัยอยู่กับตนเอง ช่วยดูแลกันไป น้องๆก็ไม่ได้ว่าอะไร ทุกคนต่างคิดถึงแววเสมอมา ตอนนี้ตนเองคิดว่าหลานสาวยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหลานสาวเสียชีวิต ในตัวหลานก็มีบัตรต่างๆ ติดตัว ก็คงจะส่งข่าวกลับมาหาแล้ว หากหลานสาวเห็นข่าวอยากให้ส่งข่าวกลับมาบ้านบ้าง และกลับมาอยู่ด้วยกัน

ด้านนางสุดารัตน์ พิลา อายุ 55 ปี และนางพรนิภา สีมาตรย์ อายุ 52 ลูกสาวของนางพิศมัย ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสาว ลูกพี่ลูกน้องของนางสาวแววที่หายตัวไป บอกกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากจัดการงานศพป้า ซึ่งเป็นแม่ของพี่แววเรียบร้อยแล้ว ประมาณปี 2561 พี่แววก็เก็บของออกจากบ้านไปเลย จากนั้นก็ไม่ติดต่อกลับมาบ้าน และทางบ้านเองก็ไม่สามารถติดต่อพี่แววได้เลย พี่แววเป็นลูกสาวคนเดียว ยังไม่มีครอบครัว และเป็นคนสันโดด เชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ค่อยฟังใคร เป็นคนชอบทำบุญ โดยช่วงที่ป้ายังไม่เสียชีวิต พี่แววก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน มักไปปฏิบัติธรรม โดยพาคุณป้าไปด้วย พร้อมทั้งขายทรัพย์สินทั้งที่นา และบ้านในส่วนของพี่แววจนหมดเพื่อนำเงินไปทำบุญ หลังจากป้าเสียชีวิต พี่แววก็มาจัดงานศพแม่จนเรียบร้อย จากนั้นก็เก็บของใช้ส่วนตัวและบอกน้องๆเพียงว่าจะไปตามทางของตนเองเพราะไม่มีห่วงอะไรแล้ว แต่ด้วยความผูกพันหลังจากเงียบหายไปนาน ทุกคนก็เป็นห่วงพี่แววที่อยู่ตัวคนเดียว อยากให้กลับมาบ้าน เพราะที่บ้านยังมีญาติพี่น้อง พี่แววไม่ได้อยู่คนเดียว หรือหากพี่แววชอบที่จะอยู่ที่ไหนที่สบายใจก็อยู่ที่นั่นได้ เพียงแต่กลับมาบ้านบ้าง ส่งข่าวให้ทางบ้านรับรู้ความเป็นอยู่บ้าง ทางบ้านก็หมดห่วง ไม่ใช่เงียบหายไปเลยแบบนี้ แต่ก็คิดเหมือนแม่ที่ว่า พี่แววยังคงมีชีวิตอยู่ เพราะเอกสารที่ติดตัวไปก็บอกที่อยู่ทางนี้ไว้อยู่แล้ว ถ้าเกิดเหตุอะไรน่าจะมีการแจ้งกลับมาบอกทางบ้านแล้ว แต่นี่ไม่มีข่าวอะไรเลยจึงคิดว่ายังมีชีวิตอยู่ โดยพวกตนพยายามเช็กกับหน่วยงานราชการ เพื่อดูว่ามีการแจ้งย้ายชื่อออกจากทะเบียนบ้าน ย้ายไปอยู่ที่อื่นที่ใดหรือไม่ ก็พบว่ารายชื่อยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ย้ายออกไปไหน จึงมั่นใจว่าพี่แววยังมีชีวิตอยู่แน่นอน

นางสุดารัตน์ บอกอีกว่าที่อยากให้พี่แววกลับมาบ้านนั้นเพราะยังมีสมบัติของยาย ที่จะเป็นส่วนของแม่พี่แวว เมื่อแม่ตายแล้วสมบัตินี้ก็ต้องเป็นของพี่แวว จึงอยากแบ่งให้พี่แววให้เรียบร้อย ให้พี่แววมีทุนมีเงินติดตัว เพราะพี่แววก็ไม่มีบ้านอยู่แล้ว อยากฝากบอกพี่แววถ้าเห็นข่าวนี้ ขอให้ติดต่อกลับมาทางบ้านด้วย ถ้าไม่มีเงินทองเดินทางกลับมาก็ติดต่อมาจะไปรับ ทำวิธีใดก็ได้อยากให้ส่งข่าวกลับมา อยากให้มาดำเนินการเรื่องสมบัติที่จะเป็นของพี่แวว รวมถึงฝากบอกถึงคนที่เห็นข่าวนี้และรู้จักกับพี่แวว ฝากบอกพี่แววให้ด้วยว่าญาติตามหาอยู่อยากให้กลับบ้านทางบ้านเป็นห่วง