จากกรณีที่เด็กหญิง อลิส (นามสมมติ) วัย 3 ขวบ หายไปจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนพบจมน้ำเสียชีวิตอยู่ในสระน้ำกลางทุ่งนา ระยะห่างจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไปประมาณ 800 เมตร เมื่อเวลา 12.40 น.ของวันที่ 14 มิ.ย. 67 ซึ่งพ่อแม่ยัน ไม่ปักใจเชื่อลูกตนเองเดินไปยังจุดเกิดเหตุ

 

ต่อมา ทีมข่าวช่องแปดได้ลงพื้นที่บริเวณศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ เพื่อสำรวจจุดที่มีน้ำ ที่ตั้งอ่างน้ำ หรือถังน้ำ โดยเด็กๆสามารถเล่นน้ำได้พบว่า ภายนอกอาคาร มี 4 จุด ได้แก่ จุดแรกอ่างล้างหน้าแปรงฟัน ลักษณะ ก๊อกน้ำ 13 หัว ความสูงจากพื้น โดยประมาณ 1 เมตร 10 ซม. จุดที่ 2 ที่ล้างจานลักษณะมีสายยาง และกะละมังรองน้ำ จุดที่เปิดน้ำสูงจากพื้น โดยประมาณ 1 เมตร ,จุดที่ 3 โอ่งทิ้งขยะ (ไม่มีน้ำ) โดยประมาณ กว้าง 50 ซม. สูง 1 เมตร., และจุดที่ 4 แท่นปูนรองน้ำ (ไม่มีน้ำ) โดยประมาณ กว้าง 40ซม. สูง 30 ซม.

 

จากนั้น ทีมข่าวช่องแปดได้สังเกตภายในอาคารศูนย์เด็กเล็ก ฯ พบว่า มี ห้องโถงใหญ่ขนาด 1 ห้อง ห้องพักครู 1 ห้องด้านขวามือ และห้องน้ำจำนวน 1 ห้อง อยู่ทางซ้ายมือของอาคาร ซึ่งทีมข่าวสังเกตว่าอยู่ติดกับอ่างล้างหน้าบริเวณด้านนอก โดยห้องน้ำในตัวอาคารมีลักษณะ เป็นส้วมสุขานั่งยอง 2 โถ โดย มีปูนกั้นกลาง และมีถังปูนขนาดเล็กสำหรับรองน้ำ ด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง

 

ล่าสุด ทีมข่าวช่องแปดได้พูดคุย กับ นายมุนินทร์ แก้วคำ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคอนกาม โดยให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า บริเวณโดยรอบของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ นั้น ไม่มีบ่อน้ำ หรือถังน้ำ สำหรับให้เด็กๆ เล่นน้ำ จะมีเพียงแค่บริเวณก๊อกน้ำอ่างล้างหน้า ให้เด็กๆได้ใช้ทำธุระส่วนตัวล้างด้านนอก และ ห้องน้ำในตัวอาคาร 1 ห้อง ซึ่งตั้งแต่แรกไม่มีการตั้งถังน้ำบริเวณโดยรอบ เพื่อเป็นการป้องกันปลอดยุงลาย

 

และหลังจากนี้ตนจะได้มีการวางมาตรการในการซ่อมแซมศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อให้ดียิ่งขึ้น ติดตั้งกล้องวงจรปิดให้รอบรั้วขอบชิต ให้เป็นที่พอใจของผู้ปกครอง ซึ่งหลังจากนี้ จะได้มีการเรียกผู้ปกครอง กรรมการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันหารือถึงแนวทางความพร้อมการเปิดเรียนต่อไป

 

วันที่ 18 มิ.ย.67 ผู้สื่อข่าวช่องแปดลงพื้นที่ไปยังโรงพยาบาลศรีสะเกษ เพื่อพูดคุยกับ นายอังกูร หัวหน้ากลุ่มงานนิติเวช โดยขณะนี้คุณหมอยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์กับสื่อ เนื่องจากทางญาติได้ส่งตัวน้องอลิสไปชันสูตรต่อ ยังโรงพยาบาลตำรวจ ที่ กทม.

 

เบื้องต้น คุณหมอได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวเพียงว่า ผลการชันสูตรพลิกศพ น้องอลิส ยืนยันเป็นไปตามที่ตนได้แถลงไป (เมื่อวานนี้ 17 มิ.ย.67 ) ไม่พบบาดแผลภายนอก กะโหลกศีรษะปกติ สมองปกติ ไม่มีเลือดออก กล้ามเนื้อบริเวณคอปกติ มีลักษณะของเหลวเป็นฟองฟ่อนออกมาจากจมูก ปอดพบว่าปอดบวมน้ำค่อนข้างเยอะ ในกระเพาะอาหารมีของเหลวปนอาหารที่ย่อยแล้ว โดยสันนิษฐานเบื้องต้น เกิดจากขาดอากาศหายใจ จากการจมน้ำ

 

ในส่วนโคลน ที่อยู่ในปอดนั้น ตนไม่พบซึ่งผลการชันสูตรพลิกศพเป็นไปอย่างละเอียดและถี่ถ้วนแล้ว ตามลักษณะของศพทั้งภายนอกและภายในที่พบเห็น ดังนั้น ในส่วนญาติของผู้เสียชีวิต หากยังต้องการพิสูจน์เพิ่มเติมและสงสัยในเหตุการณ์เสียชีวิต จึงเป็นสิทธิ์ของญาติในการดำเนินต่อไป

 

ทั้งนี้คุณหมออังกูร กล่าวอีกว่า ตนอยากจะฝากถึงสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก ควรจะมีการสอนเด็กๆในชุมชน อย่างน้อย ชุมชนละ 1 พื้นที่ ควรมีสระน้ำที่ได้มาตรฐาน เพื่อสอนทักษะพื้นฐานการว่ายน้ำ เพราะจากการทำงานที่ผ่านมาตนมักพบเคส เด็กจมน้ำเป็นประจำ

 

ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาพูดคุยกับรศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ “หมอหมู” อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของอลิส ที่ล่าสุดผลชันสูตรเผยว่าน้องอลิสนั้นเสียชีวิตจากการจมน้ำ โดยที่ไม่มีร่องรอยของการโดนทำร้ายแต่อย่างใด โดยหมอหมูได้วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ดังกล่าวกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า

 

จากประสบการณ์ส่วนตัว ในเรื่องของการผ่าชันสูตรศพ ลักษณะของบุคคลที่จมน้ำในบ่อโคลนแต่ไม่มีโคลนอยู่ภายในร่างกายก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน เพราะเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของการจม ยกตัวอย่าง ผู้เสียชีวิตจมน้ำบริเวณผิวน้ำ ซึ่งบริเวณผิวน้ำนั้นเป็นน้ำที่มีความสะอาด แต่บริเวณใต้น้ำมีโคลนตมอยู่ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว เกิดการจมลงไปบริเวณโคลนตม ก็ไม่ได้สูตรเอาเศษดินเศษโคลนเข้าไปภายในร่างกาย ทำให้เมื่อผ่าพิสูจน์จึงไม่พบกับเศษดินเศษโครนดังกล่าว

 

แต่หากจมน้ำบริเวณใต้น้ำไปแล้ว แล้วไปสูดน้ำจากใต้น้ำที่มีโคลนอยู่ หรือจมไปในน้ำที่มีเศษดินโคลนปะปนอยู่ในน้ำสูง ก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันที่จะเจอเศษดินเศษโคลนภายในร่างกาย

 

ขณะเดียวกันถ้ามองถึงน้องอลิส ที่อาจจะเสียชีวิตจากที่อื่นมาแล้ว แล้วนำมาทิ้งน้ำในบริเวณที่มีน้ำโคลนอยู่นั้น ร่างกายที่เสียชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถสูดรับเอาเศษดินเศษโคลนเข้าไป จนผลชันสูตรไม่พบเศษดินเสร็จควรแต่อย่างใดก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน

 

ต่อมาเรื่องของร่างน้องอลิส ที่จมไม่ถึง 2 ชม.และไม่นานก็ลอยขึ้นมา เคสแบบนี้ก็ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นได้น้อยกับคนทั่วไป แต่กับเคสของน้องอลิส ตนมองว่าน้องอลิส เป็นเด็ก 3 ขวบ ตัวเล็ก อาจจะมีมวลร่างกายที่น้อย ประกอบกับอาจจะมีอากาศอยู่ในปอดปริมาณที่สูงพอสมควร จึงอาจจะลอยขึ้นมาได้เร็วพอสมควร กว่าร่างของผู้ใหญ่ทั่วๆไปก็มีความเป็นไปได้

 

ส่วนเรื่องของผลชันสูตรที่ออกมาว่าน้องอลิส ไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้ายแต่อย่างใด เรื่องนี้ในความเห็นส่วนตัวมองว่าถึงแม้น้องอลิส จะไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้าย แต่หากมองเรื่องของน้องอลิสที่เป็นเด็ก 3 ขวบ การจะถูกชักจูงให้ไปในสถานที่เกิดเหตุจนจมน้ำเสียชีวิต ก็มีความเป็นไปได้ หรือหากมองในแง่ร้ายจริงๆ น้องอลิสก็อาจจะถูกคนใจร้ายกดน้ำจนเสียชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของการฆาตกรรม แต่ไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้ายก็มีความเป็นไปได้อีกเช่นกัน ดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนที่จะสืบเสาะและหาความจริงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องอลิส มีความไม่ชอบมาพากลตรงไหนบ้าง

 

และถ้าจะให้ตัวนั้นวิเคราะห์ตามหลักความเป็นไปได้จริงๆ ตนมองว่าเด็ก 3 ขวบ ถ้าจะให้เดินไปเองในระยะทางถึง 800 เมตร ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ เพราะเชื่อว่าเด็กอายุขนาดนี้คงไม่สามารถเดินไปไกลเกือบ 1 กิโลเมตรได้อย่างแน่นอน หากไม่มีสิ่งจูงใจพาเค้าไปถึงบริเวณดังกล่าว รวมไปถึงการถอดผ้าอ้อมสำเร็จรูปและรองเท้าด้วยตัวเอง ก็ยังมองว่าเป็นเรื่องแปลกที่เด็กอายุแค่นี้จะสามารถทำอะไรแบบนี้ในวัยนี้ได้

 

ต่อมาในช่วงค่ำวานนี้จึงมีการนำร่างน้องอลิส ขึ้นรถไปที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อผ่าชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง

 

ล่าสุดวันนี้ หลังจากทางแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจมีการผ่าชันสูตรศพของน้องอลิส ทีมข่าวช่อง 8 จึงประสานไปยัง พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษก รพ.ตร.

 

โดย พล.ต.ต.สุพิไชย ลิ่มศิวะวงศ์ ผู้บังคับการนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยว่า สำหรับการรับศพน้องอลิส มาผ่าชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้งตามความต้องการของทางญาติๆ ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบศพของน้องอลิส มีการผ่าชันสูตรอย่างละเอียดมาอยู่แล้วในครั้งแรกจากสถาบันนิติเวชโรงพยาบาลศรีษะเกษ ส่วนบาดแผลที่พบตามร่างกายน้องอลิส เป็นบาดแผลเล็กๆน้อยๆที่เกิดมาก่อนการเสียชีวิตและไม่ใช่บาดแผลจากการถูกทำร้าย

 

ซึ่งการผ่าซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ทางสถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ก็จะมีการผ่าชันสูตรในส่วนที่เหลือเช่น เล็บ , เม็ดเลือด , เส้นผม และตรวจซ้ำว่าจะมีสารคัดหลั่งทางช่องคลอดและทางทวาร ว่าจะมีการถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่ ทั้งนี้ในการผ่าชันสูตรอย่างละเอียดของโรงพยาบาลตำรวจ คาดว่าจะทราบผลชันสูตรภายใน 2 สัปดาห์

 

ในช่วงเวลา 18.30 น. นางทองทิพย์ 52 ปี ย่าของน้องอลิซ พร้อมกับญาติๆ ได้เดินทางมายังนา ตรงจุดพบศพของน้องอลิส วัย 3 ขวบ โดยนำเครื่องเซ่นไหว้อาหารที่น้องชอบ โดยมี ชุดสีเหลือง 1 ชุด รองเท้าคู่โปรด 1 คู่ สุรา ขนม นม น้ำดื่ม จานดอกไม้ หมากพลู อาหารคาว ผลไม้ พร้อมพระสงฆ์ จำนวน 2 รูป ที่นิมนต์มาสวดเพื่ออันเชิญดวงวิญญาณของน้อง และเรียกน้องกลับบ้าน

 

ผู้สื่อข่าวช่องแปด ได้สอบถามนางทองทิพย์ ย่าของน้องอลิซ เผยว่า ทางฝั่งยายของน้องอลิซได้ไปดูหมอมา โดยหมอทักท้วงว่า วิญญาณของน้องยังไม่ไปไหน อยากกลับบ้าน ตนจึงได้นำเครื่องเซ่น เช่น ขนม น้ำแดง นมโอวัลติน ที่น้องชอบ กล้วยที่น้องอยากกิน ชุดของน้อง และรองเท้าคู่โปรด นำมาให้และมาสวดเพื่อพาดวงวิญญาณ น้องกลับบ้าน ทั้งนี้เพื่อความสบายใจของครอบครัว ตนจึงได้มาทำ ซึ่งเป็นรอบ ที่ 3 แล้ว

 

ต่อมาผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ในเรื่องของรองเท้า ยืนยันหรือไม่ ว่าน้องจำรองเท้าตนเองได้ นางทองทิพย์ มณีวงษ์ ย่าของน้องอลิส เผยว่า น้องอลิสจำของของตนได้ ขนาดไปลืมไว้บ้านคนอื่น ยังไปตามกลับมาได้ อีกทั้ง ยังไม่ปักใจเชื่อว่าหลานของตนจะเดินมาเล่นน้ำ และเสียชีวิตตรงจุดเกิดเหตุได้

 

ทั้งนี้ ในเรื่องของผลชันสูตรเบื้องต้น จากทาง รพ.ศรีสะเกษ ทางญาติก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าสาเหตุการตายของน้องอลิส จริงๆ จะมาจากการจมน้ำ และขาดอากาศหายใจ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาจึงนำศพเดินทางไปตรวจ ที่ รพ.ตำรวจ โดยกำลังรอฟังผลอยู่เช่นกัน

 

ส่วนเรื่องงานศพ ตอนนี้กำลังปรึกษากันอยู่ว่าจะทำอย่างไร แต่คิดว่าอาจจะทำอุโมงค์เผื่อเอาศพน้องเก็บไว้ก่อน เพราะน้องยังไม่ได้รับความเป็นธรรม และทางความเชื่อ เรียกว่าเหมือนตายโหง จึงยังไม่มีกำหนดการเผา

 

และสุดท้ายยังบอกกับทีมข่าวช่อง แปดอีกว่า ตนรู้สึก คิดถึงหลานมากๆ พร้อมเสียงสะอื้น

 

ต่อมาทีมข่าวได้นำรองเท้าของอลิส คู่ที่ใส่วันเกิดเหตุ (สีดำ) นำไปเทียบกับของน้องพริกแกง (สีฟ้า-คู่ใหม่ไม่ใช่คู่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ) พบว่ามีขนาดต่างกัน ของน้องพริกแกงสีฟ้า จะมีขนาดเล็กกว่า

 

จากนั้นทีมข่าวได้ทดสอบให้น้องพริกแกงใส่รองเท้าเอง ปรากฏว่าน้องสวมเองได้ รวมถึงคู่อื่นๆ (สีชมพู)

 

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ ย่าหนู ย่าของน้องพริกแกง บอกว่า ปกติถ้าเป็นรองเท้าแบบสวมแบบนี้น้องพริกแกงจะใส่เองได้ แต่ถ้าเป็นแบบรองเท้าผ้าใบใส่เองไม่ได้ ย่าต้องคอยใส่และถอดให้

 

ส่วนความสงสัยที่รองเท้าของน้องพริกแกง ไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ก็รู้สึกงงเหมือนกัน เพราะตอนไปส่งน้องที่ศูนย์เด็กเล็ก  ก็เป็นคนถอดให้น้อง แล้วใส่เก็บไว้ที่ชั้นตามปกติ แต่กลับไปตกอยู่ที่เกิดเหตุ

 

จากนั้น เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ ทีมข่าวช่องแปด ได้จำลองเหตุการณ์ ให้น้องตะวัน หนูน้อยวัย 3 ขวบ หลังจากเดินเสร็จให้ถอดผ้าอ้อมสำเร็จรูปและถอดรองเท้า ปรากฏว่า รองเท้าต้องให้ผู้ปกครองถอดให้น้องไม่สามารถถอดเองได้ และไม่ยอมถอดกางเกงและผ้าอ้อมสำเร็จรูปเอง เนื่องจากถอดแล้วติดบริเวณก้น พยายามถอดก็ถอดไม่ได้ จึงเกิดอาการโวยวายให้คุณยายเป็นคนถอดให้

 

ทีมข่าวช่องแปด ได้จำลองเหตุการณ์ ให้น้องตะวัน หนูน้อยวัย 3 ขวบ เดินต่อไปยังจุดเกิดเหตุโดยสวมรองเท้าผ้าใบคู่เดิม ซึ่งผ่านบริเวณ สะพาน เนินป่าตาล และเนินต้นไม้ ก่อนถึงจุดที่น้องอลิสเสียชีวิต โดยน้องตะวันมีท่าทีเหนื่อย เหงื่อซึมตามร่างกายจำนวนมาก หลังจากนั้น เมื่อถึงปลายทางที่หมาย

 

ทีมข่าวช่อง แปด ได้สังเกตรองเท้าผ้าใบที่น้องตะวันสวมใส่ พบว่า ไม่พบรอยเปื้อนโคลน มีเพียงลักษณะดินติดที่พื้นรองเท้าเพียงเล็กน้อยไม่แตกต่างมากจากในช่วงก่อนเดิน แต่ท่าทีของน้องตะวัน มีลักษณะเหนื่อยล้า และเท้าแดง ซึ่งผู้สื่อข่าวสอบถามเป็นน้องตะวัน ว่ารู้สึกอย่างไร น้องตอบเพียงว่าปวดเท้ามาก

 

เวลา 20.30 น. ทีมผู้สื่อข่าวได้พบ กับครูหนุ่ย และครูน้อย โดยเดินทางมางานบำเพ็ญกุศลศพน้องที่บ้านเป็นคืนแรก

 

โดยครูหนุ่ยเปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ และมีความรู้สึกเครียด ส่วนเรื่องคดีไม่ขอชี้แจงเนื่องจาก ตนเองได้เดินทางไปให้ปากคำกับตำรวจเป็นที่เรียบร้อย

 

ส่วนด้านครูน้อย เผยว่า ตนเองก็มีความเสียใจกับเหตุการณ์นี้มาก เป็นครูมากว่า 20 ปี รู้สึกเครียดกับเรื่องนี้ ส่วนเรื่องดำเนินคดีที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาก็เป็นไปตามกระบวนการ เนื่องจากตัวเองได้เดินทางสอบปากคำกับตำรวจแล้ว แล้วแต่ผลคดีจะออกมาอย่างไร

ส่ง "อลิส" 3 ขวบชันสูตรซ้ำ ช่อง 8 พิสูจน์ 3 ขวบถอดแพมเพิร์สไม่ได้