คืบหน้ากรณีเสียชีวิตของเสี่ยต้น โดยก่อนหน้านี้ เจ้าตัวถูกลอบยิงเมื่อช่วงวันที่ 8 เม.ย. แต่ไม่เสียชีวิต และมาเสียชีวิตหลังจากเดินทางไปหาภรรยาที่ต่างจังหวัด จนกระทั่งล่าสุดตำรวจสามารถจับกุมตัวกลุ่มมือปืน และรวมถึงเจ๊มด ภรรยาของเสี่ยต้น ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว นั้น
ล่าสุดเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมาทีมข่าว สอบถามจากตำรวจ ที่ดูแลหน้าห้องควบคุมผู้ต้องหา ทราบว่า ระหว่างที่เข้าไปตรวจภายในห้องควบคุม พบว่านางสาวมด นั่งสมาธิ หลับตานิ่ง ไม่ได้มีการพูดคุย ซึ่งก่อนหน้านี้มีการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอื่นเข้ามาคุมขังร่วมด้วย แต่เป็นผู้ชายแต่แยกกันอยู่คนละห้อง ซึ่งหลังจากที่ทนายได้เดินทางกลับไปก็ยังไม่พบว่านางสาวส้มน้องสาวเข้ามาเยี่ยมพี่สาวอีกแต่อย่างใด และจากการสอบถามผู้กำกับการระบุว่า พนักงานสอบสวนอาจจะนำตัวนางสาวมดออกมาออกมาคำเพิ่มเติมเพื่อเก็บตกในประเด็นที่ยังไม่ครบถ้วนอีกเล็กน้อย แต่ยังไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนจะนำมาสอบปากคำในเวลาใด เพราะยังมีเวลาที่ตำรวจควบคุมตัวได้จนถึงก่อนที่จะไปฝากขังยังศาลอาญารัชดา ในวันพรุ่งนี้ เวลาประมาณหลัง 10:00 น.
นอกจากนี้ช่วงเวลาประมาณ 10.45 น.ขณะที่สิบเวรหน้าห้องควบคุมผู้ต้องหา ได้เข้าไปตรวจสอบในห้องขัง ทางเจ๊มด ก็ได้มีการพูดคุยกับสิบเวรพร้อมขอรบกวนให้สิบเวรจดเบอร์นางสาวส้ม น้องสาวเจ๊มด แล้วให้โทรหาพร้อมฝากบอกให้เข้ามาเยี่ยม และฝากซื้อนมเข้ามาให้ด้วย โดยสิบเวรให้ข้อมูลว่า หลังเจ๊มด เข้าไปในห้องควบคุมผู้ต้องหาตอนแรกไม่ได้เครียดอะไรมากมาย เนื่องจากมีผู้ต้องหาคดีเมาแล้วขับที่เป็นผู้หญิงอยู่ด้วย แต่พอตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาเมาแล้วขับไปที่ศาล จึงทำให้เหลือเจ๊มด แค่คนเดียว จึงทำให้ตัวของเจ๊มด ค่อนข้างอยู่ในอาการเครียด
จากนั้นในเวลา 12:30 น. นางสาวส้ม น้องสาวของเจ๊มด ก็ได้เดินทางเข้ามาเยี่ยมพี่สาว พร้อมนำเสื้อ ขนม และนม ตามที่เจ๊มด บอกผ่านสิบเวรให้ซื้อเข้ามาให้ โดยยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ บอกเพียงว่า ตอนนี้หลานทั้ง 3 คน ตัวเป็นคนดูแลทั้งหมด โดยทุกคนก็อยู่ในอาการปกติ ไม่ได้เป็นอะไรหลังเจ๊มดถูกจับ ส่วนเจ๊มดเองก็ไม่ได้ร้องขออะไรเพิ่มเติม วันนี้ตั้งใจเดินทางมาเยี่ยม และจะเดินทางกลับ
เมื่อถามถึงแม่ที่อยู่จังหวัดมหาสารคามทราบเรื่องแล้วหรือไม่นั้น น้องสาวเจ๊มด บอกว่า ทราบเรื่องแล้ว แต่ไม่ได้เดินทางมา เพียงแต่โทรมาสอบถามด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น ส่วนประเด็นที่นางสาวส้มถูกพาดพิงจากบุคคลใกล้ชิด ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยการยุยงปลุกปั่นนั้น เรื่องนี้ขอไปถามทนาย แต่ส่วนตัวไม่ได้คิดอะไร โดยหลังจากนี้จะปรึกษากับทางครอบครัวและทนายสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าจะต้องมีการแถลงข่าวต่อไปหรือไม่
จากนั้นส้มน้องสาวของเจ๊มด ได้เข้าไปเยี่ยมพี่สาวตัวเองในห้องควบคุมผู้ต้องหา โดยทั้งคู่ได้มีการการพูดคุยกันผ่านกระจก บางช่วงบางตอนทางนางสาวส้ม ได้มีการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ววิดีคอลกับใครบางคน ก่อนจะหันหน้าจอโทรศัพท์ให้กับเจ๊มด ได้พูดคุยต่ออีกประมาณ 5 นาที ก่อนจะวางสาย
หลังญาติเข้าเยี่ยมเจ๊มด ได้ประมาณ 15 นาที ก็ได้พากันเดินทางกลับ โดยระหว่างที่เดินออกมานั้นทีมข่าวก็ได้สอบถามว่าได้มีการพูดคุยอะไรกับพี่สาวบ้าง โดยนางสาวส้ม ตอบสั้นๆเพียงว่า “คุยเรื่องเด็กค่ะ” (เรื่องลูก)
วันนี้ช่วงเวลา 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทางสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลางเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยม ผู้ต้องหา โดยวันนี้มีกลุ่มเพื่อน ของนางสาวมด คาดว่าเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ออกกำลังกายในฟิตเนสจำนวน 3 คนเป็นผู้หญิงเดินทางมาขอเข้าเยี่ยม โดยทั้ง 3 คน แต่งกาย ชุดออกกำลังกายมา เมื่อเข้าไปถึง ก็มีการพูดคุยกันผ่านห้องกระจกเช่นเคย ซึ่งสังเกตได้จากกล้องวงจรปิดของห้องเยี่ยมผู้ต้องขัง พบว่านางสาวมดมีการพูดคุยแล้วก็ยิ้มแย้ม อย่างสนุกสนานกับกลุ่มเพื่อนลดความเครียดลงได้ โดยใช้เวลาพูดคุย ประมาณ 15 นาที ก่อนจะกลับออกมา โดยทั้งสามคนได้นำผ้าขนหนูกลับไปด้วย เนื่องจากเมื่อวานนี้ญาตินำมาให้กับผู้ต้องหา แต่ตำรวจไม่อนุญาตให้นำเข้าไปเนื่องจากถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องห้ามไม่ให้นำเข้าไปเยี่ยมผู้ต้องหา เพราะสามารถใช้เป็นอาวุธในการผูกคอในห้องขังได้
โดยระหว่างที่เดินทางกลับผู้สื่อข่าวได้พยายามถามกลุ่มเพื่อนว่าวันนี้ที่เดินทางมาเยี่ยมนางสาวมดมีอาการเครียดหรือไม่ และมีความกังวล เรื่องอะไรเป็นพิเศษกับกลุ่มเพื่อนหรือไม่ แต่ทั้งสามคนพยายาม เดินหลบเลี่ยง สื่อมวลชนกลับออกไปจากสถานีตำรวจทันที
หลังจากนั้นก็มีกลุ่มพนักงาน ซึ่งเป็นลูกจ้างบริษัทของนางสาวมด เป็นหญิงสาว 3 คน เดินทางมาขอเข้าเยี่ยมเช่นเดียวกัน ในช่วงเวลา 16.30 น. ซึ่งทั้ง 3 คนได้เข้าไปพูดคุยอยู่นาน ประมาณ 30 นาที ก่อนจะกลับออกไป
สำหรับเมื่อช่วงเช้าทางพันตำรวจเอกเจษฏา ยางนอก ผู้กำกับการ สน.วังทองหลาง พร้อมพนักงานสอบสวนเจ้าของของคดี รวมถึงเจ้าหน้าตำรวจชุดสืบสวน ได้คุมตัวนายวีรภัทร หนึ่งในผู้ต้องหาแก๊งลอบยิงเสี่ย ซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ให้กับมือปืน ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยได้คุมตัวไปทำแผนด้วยกันทั้งหมด 3 จุดด้วยกัน จุดแรงบริเวณหน้าโรงเหล้าแสงจันทร์ จุดที่คนร้ายได้ไปสังเกตการณ์เสี่ยต้น หลังได้มีการนัดหมายกับภรรยาให้มาเจอกันที่ร้านดังกล่าว
ส่วนจุดที่สองคือบริเวณทางเท้าริมถนนประดิษฐ์มนูธรรม โดยจุดนี้คนร้ายให้การว่าได้มีนำปืนมาซ่อนเอาไว้ในพงหญ้า หลังนายณัฐพล มือปืนได้ส่งปืนให้กับนายวีรภัทร แต่นายวีรภัทร ไม่กล้ายิงจึงได้นำปืนมาไว้จุดดังกล่าว จุดที่สามคือก่อนขึ้นทางด่วนฉลองรัช หลังคนร้ายได้ไปเอาปืนที่ซ่อนเอาไปในพงหญ้าก็ได้ขี่รถจักรยานยนต์ประกบรถยนต์ของเสี่ยต้น ก่อนจะลงมือยิง ซึ่งในช่วงทำแผนฯนายวีรภัทร ให้ร่วมมือเป็นอย่างดี พอทำแผนฯเสร็จก็ได้คุมตัวไปที่ห้องควบคุมผู้ต้องหา สน.โชคชัย
วันนี้พนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวท้ายคำร้องการฝากขัง เพราะ เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและเกรงว่าจะมีการไปยุ่งเหยิงกับพยาน
และกรณีการเข้าจับกุมนายวี หรือวีรภัทร เมื่อวานนี้ ซึ่งมีการจับกุมได้ที่ตึกที่พักแห่งหนึ่งย่านนวมินทร์ ก่อนจะมีการคุมตัวไปชี้จุดเผาเสื้อผ้า และพาไปที่บ้านของแม่ซึ่งอยู่ในพื้นที่พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อที่จะไปหารถของกลางซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์สีขาว นั้น
ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านของ นางนก (นามสมมติ) อายุ 52 ปี แม่ของนายวีรภัทร ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านที่ตัวของนายวีได้เอารถมอเตอร์ไซค์คันที่ใช้ก่อเหตุเอามาซุกซ่อนเอาไว้ พร้อมกับสั่งห้ามไม่ให้คนที่บ้านใช้รถ ก่อนที่จะเปลี่ยนเอารถของพ่อเลี้ยงขับไปใช้ต่อในพื้นที่นวมินทร์ เพื่อหลบสายตาเจ้าหน้าที่ จนทำให้การสืบคดีตำรวจไม่สามารถตามเจอรถคันดังกล่าวได้ จนกระทั่งมีการควบคุมตัวได้จึงขยายผลและพบว่ามีการเอามาซุกซ่อนไว้ที่บ้านแม่ในพื้นที่พระประแดง , โดยแม่ของนายวีได้พาทีมข่าวไปดูจุดจอดรถที่ลูกเอามาจอดทิ้งไว้เอาไว้ และมีการสั่งห้ามไม่ให้คนที่บ้านเอาไปใช้งาน
โดยทีมข่าวได้รับแชตซึ่งเป็นข้อความที่ นายวีรภัทร มีการถ่ายภาพรถคันที่ใช้ก่อเหตุส่งให้แม่ทาง LINE พร้อมกับมีการสั่งห้ามไม่ให้ที่บ้านนำรถคันดังกล่าวไปใช้ โดยมีการอ้างเหตุผลว่า “ บอกลุง ว่าอย่าพึ่งเอารถไปใช้ ” ซึ่งแม่ได้มีการถามกลับไปว่า “ เป็นสายของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไง” โดยตัวของนายวีตอบกลับมาว่า “ค่อยคุย” พร้อมกับมีการส่งภาพนิ่งรถให้กับแม่ดู , โดยแชตดังกล่าวได้มีการพูดคุยกันตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.
และในช่วงที่ทีมข่าวเดินทางไปถึงที่บ้านของนางนก แม่ของนายวีรภัทร แม่ได้ขอจุดธูปเพื่อบอกกล่าวดวงวิญญาณของเสี่ยต้น และขอให้ทีมข่าวบันทึกภาพเอาไว้ เพื่อขอเป็นการสื่อสารและบอกกล่าวไปยังครอบครัวของคน ว่าลูกชายของตนเองไม่มีเจตนา แต่ถูกหลอก และที่สำคัญแม่ไม่เคยรู้จักกับเสี่ยต้น แต่แม่อยากจะฝากขอโทษและขอดวงวิญญาณของเสี่ยต้นรับรู้ เพื่อให้รู้ว่าลูกของตนเอง ไม่ได้มีเจตนา และขอให้ดวงวิญญาณของเสียต้นให้อภัยลูกชายด้วย
นางนก แม่นายวีรภัทร เปิดใจกับทีมข่าวช่องแปด ว่า สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่ที่ลูกชายเอารถมอเตอร์ไซค์มาจอดทิ้งเอาไว้ที่บ้านตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. และจากนั้นก็เริ่มมีข่าวปรากฏอยู่ตามหน้าสื่อ และภาพนิ่งของชายต้องสงสัย โดยเฉพาะชายใส่เสื้อสีส้ม สวมหมวกกันน็อก ขับรถมอเตอร์ไซค์สีขาว โดยลักษณะรูปพรรณสัณฐานรวมถึงสิ่งของที่ใช้ อาทิ รถ และรวมถึงหมวกกันน็อก และรวมถึงรูปพรรณสัณฐานและรุ่นของลูกชาย มีความคล้ายและเหมือนกับชายต้องสงสัยที่อยู่ในข่าว ตนเองก็ได้มีการโทร LINE ไปถามลูกชาย ซึ่งในวันนั้นลูกชายอ้างว่า ไม่ใช่ผม และไม่ได้เกี่ยวข้องกับกับผม สักวันความจริงจะปรากฏ ซึ่งตนเองก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าสุดท้ายแล้ว คนที่ปรากฏอยู่ในภาพนั้นจะเป็นลูกชายจริง
โดยหลังจากที่ลูกชายเอารถมาซ่อนเอาไว้ที่บ้าน ก็มีลักษณะสั่งห้ามไม่ให้คนใช้ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเข้าใจว่าเป็นรถของวัยรุ่น ไม่อยากให้คนแก่ขับ โดยหลังจากที่เอารถมาเปลี่ยนรถรถที่บ้าน ลูกชายก็ได้เอารถคันสีแดงไปใช้แทน
ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ตนเองได้เยี่ยมลูกชายและพูดคุยกับลูกชายแล้ว เจ้าตัวเอาแต่ร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่กระทำลงไป เพียงเพราะเงินจำนวน 4000 บาท โดยเงินก้อนแรกได้รับเงิน 1000 บาท และรับเพิ่มอีก 3000 บาท ซึ่งคนที่ว่าจ้าง ลูกชายไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ทราบภายหลังคือนายณัฐพลมือปืน ที่ไปรู้จักจากการเปิดห้อง หรือบ้านพัก โดยรู้จักผ่านเพื่อนอีกคน ซึ่งตนเองไม่รู้ว่าคือนายสาโรจน์หรือแป๊ะ หรือว่าใครกันแน่ เพราะลูกชายไม่ได้พูดถึงรายละเอียดดังกล่าว หลังจากที่ ได้รับการติดต่อให้ขับรถไปตามง้อผู้หญิงคนนึง ซึ่งลูกชายก็รับงานเพราะเนื่องจากเห็นว่าเห็นว่า เพียงขับรถได้เงินตั้ง 4000 บาท ก็พาเค้าไป จนกระทั่งพอไปถึงปรากฏว่ามีเรื่องของอาวุธปืน ลูกชายก็เริ่มขอถอนตัว แต่ถูกข่มขู่จากชายคนดังกล่าว ทำนองว่า “ ถ้ามึงไม่ทำกูจะทำมึงเอง” จึงทำให้ลูกชายต้องขับรถต่อจนกระทั่งเกิดเหตุดังกล่าว
และตามภาพกล้องวงจรปิด ที่เห็นว่าลูกชายเป็นคนเดินไปหยิบปืนจากใต้ต้นไม้ จุดซุ่มรอ ส่วนนายณัฐพลมือปืนนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์รอนั้น เป็นภาพลูกชายเดินไปหยิบอาวุธปืนที่มีคนเอามาซ่อน แต่เท่าที่รู้คือลูกชายเห็นว่าในการไปตามง้อคืนนั้นมีเรื่องของอาวุธปืน ลูกชายจึงหาวิธีพยายามเอาไปซ่อน จึงปรากฏภาพเห็นลูกชายเดินถือถุงปืนอยู่ใต้ต้นไม้ และมือปืนคร่อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ ดังนั้นตนเองจึงมองว่าเป็นเหตุการณ์ที่ลูกชายตั้งใจเอาปืนไปซ่อน ไม่ใช่ไปเอาปืนที่ซ่อนไปให้นายณัฐพลเอาไปยิงคน
วันนี้ (4 มิ.ย.) ทีมข่าวช่องแปดลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า หลังจากมีการจับกุมตัวนายสาโรจน์หรือแป๊ะ ผู้ร่วมขบวนการในการจัดหาอาวุธปืนและรถมอเตอร์ไซต์ โดยทันทันทีที่ทีมขาเดินทางไปที่ซอยรามอินทรา 62 แยก6 ซึ่งเป็นบ้านของนายสาโรจน์ โดยพบว่าเดิมทีบ้านหลังดังกล่าวจะเห็นญาติและพ่ออาศัยอยู่ และคอยเปิดประตูพูดคุยกับสื่อมวลชนเวลาที่เดินทางมาทำข่าว แต่ปรากฏว่าวันนี้ได้มีการปิดประตูรั้วใหญ่ และไม่ยอมออกมาให้สัมภาษณ์ ให้ข้อมูลแต่เพียงว่า “ อยากได้ข้อมูลหรือรายละเอียดให้ไปถามตำรวจ” จะทำให้บรรยากาศภายในบ้านค่อนข้างเงียบ แม้ว่าพ่อจะอาศัยอยู่กับพี่สาวที่ป่วยติดเตียงก็ตาม และรถมอเตอร์ไซต์ก็ยังจอดอยู่ในโรงรถ แต่ก็ไม่มีใครยอมออกมาพูดคุยหรือให้สัมภาษณ์
ขณะที่บ้านของนายโตส อยู่ภายในซอยรามอินทรา 62 แยก4 เป็นบ้านของเพื่อนของนายสาโรจน์หรือแป๊ะ เพราะเนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องคาดว่า เป็นคนกลางที่พานายนายสาโรจน์ไปรู้จักกับนายวีหรือวีรภัทร คนขับรถพามือปืนไปก่อเหตุยิงเสี่ยต้น
โดยทันที ที่ทีมข่าวเดินทางไปบ้านของนายโตส ตามที่ทราบพิกัดว่าในวันเดียวกันกับที่นายสาโรจน์ถูกจับตำรวจได้มีการเข้าตรวจค้นบ้าน เพื่อหาสิ่งผิดกฎหมายรวมถึงมีการเชิญตัวไปสอบปากคำ โดยพบว่า บ้านหลังดังกล่าวไม่ได้มีการปิดประตูรั้วใหญ่ เปิดประตูทิ้งไว้ทิ้งไว้ แต่มีการล็อกประตูบ้าน และเดิมทีจะเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของวัยรุ่นจอดหลายคัน ซึ่งวันนี้ตอนที่ทีมข่าวเดินทางไปถึงปรากฏว่ามีแต่บ้านเปล่า
แล้วนอกจากนี้ ทีมข่าวได้พยามติดต่อไปหา นาย ว. ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่มีการซื้อบ้านต่อจากนายตำรวจ และปล่อยให้วัยรุ่นมามั่วสุมรวมตัวกัน ปรากฏว่าเจ้าตัวปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลและให้สัมภาษณ์ โดยอ้างว่า “ไม่รู้ไม่เห็น”
และวันเดียวกันนี้ ระหว่างที่ทีมข่าวปักหลักรออยู่บริเวณด้านหน้าบ้านของนายสาโรจน์ หรือแป๊ะ ปรากฏว่ามีช่วงหนึ่ง มีเพื่อนของนายสาโรจน์ขับรถไปที่บ้าน เพื่อมาติดตามความคืบหน้าหลังจากเจ้าตัวถูกจับกุมไปเมื่อวานนี้ และยังได้เดินทางมาที่โรงต้มน้ำกระท่อมของนายสาโรจน์ เพื่อที่จะตักน้ำกระท่อมไปกิน เนื่องจากตัวของนายสาโรจน์ทำโรงน้ำกระท่อมเอาไว้บริการเพื่อนที่เป็นกลุ่มไรเดอร์ส่งสินค้า
ทีมข่าวได้คุยกับนายหมิง (นามสมมติ) เพื่อนของนายสาโรจน์ เผยว่า ตนเองเป็นกลุ่มเพื่อนที่รู้จักกับนายสาโรจน์หรือแป๊ะ ในนามกลุ่มคนขับไรเดอร์ส่งของ เพราะเนื่องจากอาชีพที่นายสาโรจน์ทำอยู่ก็มีการวิ่งส่งของเหมือนกัน และโดยส่วนใหญ่นายสาโรจน์ก็ให้เพื่อนมาต้มน้ำกระท่อมกินกันที่บ้าน ซึ่งในวันนี้ตนเองก็แวะมาเหมือนกัน พร้อมกับติดตามความคืบหน้าหลังจากที่เจ้าตัวถูกจับ นึกว่าได้รับการประกันตัวแล้ว
สำหรับกลุ่มของตนเองเป็นคนละกลุ่มกันกับนายโตส เพราะกลุ่มของตนเองจะเป็นกลุ่มไรเดอร์วิ่งส่งของและกินน้ำกระท่อม ซึ่งในกลุ่มของตนเองก็จะจะมีนายสาโรจน์หรือแป๊ะ และจะมีเพื่อนคนอื่นที่วิ่งในสายงานเดียวกัน แวะมานั่งพูดคุยกันที่บ้านเป็นประจำ แต่ก็ไม่คาดคิดว่านายสาโรจน์จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของเสี่ยต้น รวมทั้งมีอาวุธปืน ซึ่งหลังจากรู้ข่าวก็ตกใจ
ส่วนความสนิทระหว่างนายสาโรจน์กับนายวีหรือวีรภัทรนั้น เข้าใจว่าทั้งคู่น่าจะรู้จักกัน เพราะเคยมานั่งกินน้ำกระท่อมที่บ้าน และอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับตนเอง แต่ก็ไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว ซึ่งก็รู้จักในนามที่ทำอาชีพเดียวกันแล้วมานั่งดื่มกินน้ำกระท่อมเท่านั้น และภายหลังที่เจ้าตัวไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับรถพามือปืนไปยิงเสี่ยต้น หลังทราบข่าวก็ตกใจ ขณะที่ตัวของนายณัฐพลมือปืน ตนเองไม่รู้จัก และไม่รู้ว่าเป็นใคร และไม่แน่ใจว่านายสาโรจน์หรือแป๊ะรู้จักหรือไม่ เพราะยังไม่เคยเห็นหน้า
นอกจากนี้ทีมข่าวได้รับข้อมูลมาว่าบ้านหลังสีชมพูซึ่งเป็นบ้านที่เชื่อมโยงว่าเป็นจุดรวมของกลุ่มวัยรุ่น และเป็นบ้านหลังเดียวกันกับที่นายสาโรจน์กับนายวีรภัทร มารู้จักและติดต่อดีลงานกันก่อนไปก่อเหตุยิง เสี่ยต้น บ้านของอดีตนายตำรวจ ซึ่งปัจจุบันได้ขายให้กับ นาย ว. ซึ่งเป็นญาติห่างๆของนายโตส และบ้านหลังดังกล่าวได้ปล่อยให้วัยรุ่นมามั่วสุมและรวมตัวกัน จนเป็นเหตุทำให้นายนายสาโรจน์กับนายวีรภัทร มารู้จักและดีลงานกันที่บ้านหลังดังกล่าว แต่เจ้าของบ้านเดิมซึ่งเป็นนายตำรวจ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเนื่องจากขายบ้านไปแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้มีการแกะป้ายชื่อเดิมออกจากหน้าบ้านเท่านั้น
และนอกจากนี้ทีมข่าวยังได้คุยกับ นางสาวชไม (นามสมมติ) แม่ของนายโตส เจ้าของบ้านเช่าที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้านที่ปล่อยให้เป็นที่ซ่องสุมของกลุ่มวัยรุ่นและมือปืน ก่อนไปและหลังก่อเหตุยิงเสี่ยต้น นั้น
นางสางชไม แม่โตส เผยว่า โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ลูกชายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดนครบาลบุกเข้ามาตรวจค้นบ้านและใช้อาวุธปืนบังคับให้นอนราบไปกับพื้น เพื่อมีการตรวจค้นบ้าน โดยอ้างว่าเป็นหนึ่งในบ้านต้องสงสัย โดยหลังจากที่ตำรวจมีการตรวจค้นภายใน ไม่พบความผิดปกติ ไม่พบความผิดกฎหมาย และไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงเกี่ยวกับกลุ่มจ้างวาน แต่หลังจากที่ลูกชายถูกคุมตัวไปตั้งแต่ช่วงเช้าของวานนี้เวลาประมาณ 07:00 น. พาขึ้นรถตู้ตำรวจออกไปจากบ้าน ถูกเจ้าหน้าที่เข็นสอบ นานกว่า 10 ชั่งโมงเศษ (กลับถึงบ้าน 19.30น.) ซึ่งเป็นลักษณะถามซ้ำเกี่ยวกับไทม์ไลน์การรู้จักกับกลุ่มผู้ต้องหา และรวมถึงความเชื่อมโยงต่าง โดยลูกชายของตนเองก็ให้การอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับแสดงความบริสุทธิ์ใจ และยอมรับว่าเป็นเจ้าของบ้าน รู้จักกับนายวีหรือวีรภัทร เพราะเนื่องจากเป็นเพื่อนสมัยเด็ก รวมทั้งนายวิโรจน์หรือแป๊ะเป็นเพื่อนในซอยที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ส่วนมือปืนลูกชายไม่รู้จัก ซึ่งทั้งหมดก็มีการให้การกับตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตนเองจึงเชื่อในคำให้การของลูกชาย และหลังจากเมื่อคืนนี้ที่ตำรวจปล่อยตัวกลับมาตนเองก็ได้มีการสอบถามเบื้องต้น ซึ่งลูกชายก็ยืนยันย้ำในความบริสุทธิ์ ตนเองจึงเชื่อว่าลูกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
สำหรับความรู้จักของนายวีหรือวีรภัทร กับลูกชายนั้น ตนเองเข้าใจว่าเป็นเด็กที่เรียนและโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จึงรู้จักกันเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะไปมีส่วนเกี่ยวกับการพาไปขับรถส่งมือปืนยิงคน , ขณะที่ตัวของนายแป๊ะหรือวิโรจน์ ก็เป็นเด็กในซอย ที่ลูกชายเคยพามาแนะนำให้รู้จัก และเคยพามาที่บ้าน รวมทั้งตนเองก็เคยเลี้ยงเบียร์ในสาโรจน์เหมือนกัน แต่ส่วนคนอื่นๆ ตัวเองไม่รู้จักและไม่รู้ว่าเป็นใครด้วยซ้ำ
ขณะที่ตึกหรือบ้านสีชมพู เป็นบ้านที่ลูกชายไปทำงานเป็นคนดูแลหอพักที่อยู่ติดกัน โดยลักษณะต้องมีการจ่ายค่าเช่าบ้านหลังสีชมพูเดือนละ 3500 บาท และไปทำหน้าที่เป็นคนดูแลหอพักได้เงินเดือนเดือนละ 9000 บาท จากนั้นก็จะมีการหักลบหนี้เหลือเพียงไม่กี่บาท เท่ากับว่าไปอยู่บ้านหลังสีชมพู แล้วหาอาชีพเสริมโดยการขับรถส่งของหรือไรเดอร์ และช่วยดูแลหอพักเพื่อเป็นการจ่ายค่าเช่าบ้าน
ส่วนที่ถูกสังคมตั้งข้อสังเกตและรวมถึงมีรายงานข้อมูลออกมาว่าเป็นบ้านที่เปิดโอกาสให้วัยรุ่นมีการมั่วสุม หรือเป็นที่รวมตัวของกลุ่มก่อเหตุทั้งก่อนและหลังยิงเสี่ยต้น นั้น ตนเองเชื่อว่าน่าจะไม่ใช่สถานที่ตามที่ถูกกล่าวหา เพราะโดยโดยปกติตนเองก็แวะเวียนไปช่วยดูแลหอพักแทนลูกเวลาที่ลูกติดส่งงานลูกค้าข้างนอก คอยเข้าไปกวาดหรือดูแลหอพัก และเข้าไปที่บ้านของลูกบ่อยครั้ง ซึ่งก็จะมีเพียงแค่เพื่อนสนิทที่แวะมาเที่ยวหาตอนที่ลูกชายอยู่ แต่เวลานอกก็ไม่เคยเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาอยู่อาศัยหรือเข้ามามั่วสุมอย่างที่ถูกกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นที่เกิดขึ้น ส่วนตัวก็ไม่ได้มีความกังวลใจหรือเครียด เพราะเชื่อว่าลูกชายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่กลุ่มที่รู้จักกันในบรรดาที่ถูกออกหมายจับเท่านั้น และเชื่อว่าลูกชายไม่ได้มีส่วนรู้เห็น ไม่ได้ให้การสนับสนุน หรือเป็นคนกลางที่พาเหล่านั้นมารู้จักกันตามที่ถูกกล่าวหา และถ้าหากสุดท้ายมีการจับคนได้เพิ่ม แล้วมีการชี้เป้าว่าลูกชายมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมมีส่วน ตนเองก็พร้อมที่จะช่วยสู้ให้กับลูก เพราะเชื่อว่าลูกไม่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
และวันเดียวกันนี้ ทีมข่าวเดินทางไปที่ บ้านหลังสีชมพู ซึ่งเป็นบ้านที่ทราบว่าชุดสืบสวนจากนครบาลมีการค้นหลังจับตัวนายสาโรจน์เมื่อวานนี้ และเป็นบ้านเช่าของนายโตส ซึ่งตอนที่ทีมข่าวเดินทางย้อนกลับไปอีกครั้งก็ยังไม่พบ หรือเจอตัวนายโตส โดยเพื่อนที่อยู่ในบ้านอ้างว่านายโตสเดินทางไปทำธุระ พร้อมกับไปให้ปากคำเพิ่มเติม
แต่จากรายงานชุดสืบสวน ที่มีการเข้าตรวจค้นบ้านเช่านายโตส เมื่อวานนี้ เป็นเพราะว่า ทราบรายงานว่าก่อนหน้านี้เป็นบ้านที่กบดานของนายณัฐพลมือปืน ซึ่งมีการขับรถเก๋งมาจอด ก่อนจะขึ้นซ้อนท้ายรถนายวีหรือวีรภัทร เพื่อไปก่อเหตุยิงรถเสี่ยต้น ก่อนกลับมาเปลี่ยนรถ และแยกย้ายกันหลบหนี โดยมีข้อมูลรายงานข่าวว่าเป็นบ้านหลังสีชมพูหลังเดียวกัน แล้วยังเป็นจุดนัดพบทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ นั้น
ทีมข่าวช่องแปดได้คุยกับ นายต๊ะ (นามสมมติ) ลูกพี่ลูกน้องของนายโตส ในฐานะคนที่อยู่อาศัยบ้านหลังเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้านซ่องสุม และยังเป็นเพื่อนกับนายวีหรือวีรภัทร เผยว่า ตนเองมาอยู่บ้านหลังนี้ ช่วงหลังวันที่ 9 เม.ย. จึงไม่รู้ว่าช่วงก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นและ ไม่รู้ว่ามีใครผ่านเข้าออกหรือไม่อย่างไร เพราะเข้าใจว่าหลังจากที่ตนเองเข้ามาอยู่นั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้ว
ในวันที่ตนเองเข้ามาอยู่อาศัยในบ้านหลังเดียวกันกับนายโตส มีเพียงแค่นายวีหรือวีรภัทร ที่เห็นแวะเวียนเข้ามานั่งเล่น มาเที่ยวหาตนเองกับนายโตส เนื่องจากรู้จักกัน และรู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว จึงไม่แปลกที่จะแวะเข้ามานั่งพูดคุยและมาเล่นกันที่บ้านที่นี่ แต่ตนเองไม่เคยรู้ว่านายวีไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับรถพาคนไปยิงใคร แล้วตอนที่เจอกันหลังวันที่ 9 เม.ย. ก็ไม่ได้เห็นมีการใช้รถมอเตอร์ไซค์สีขาวหรือใช้เสื้อไรเดอร์สีส้ม จึงทำให้ตัวเองไม่เอะใจ เพิ่งจะมารู้หลังจากที่เจ้าตัวถูกจับ แล้วมีตำรวจมาตรวจค้นที่บ้านของนายโตสที่ตนเองอาศัยอยู่ด้วย
ส่วน นายสาโรจน์หรือแป๊ะ เข้าใจว่าเป็นเด็กในซอย และมาขอนายโตส ทำงานดูเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ประปา และซ่อมเครื่องปรับอากาศให้กับตึกที่นายโตส เป็นผู้ดูแลอยู่ ซึ่งก็เข้าใจว่าน่าจะรู้จักกันในฐานะที่มาขอทำงาน แต่ตัวเองไม่ไม่รู้ว่าลึกกว่านั้นนายโตสรู้จักกับนายแป๊ะในลักษณะใด หรือสนิทกันมากน้อยแค่ไหน แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นเด็กในซอยที่รู้จักกันแล้วมาขอทำงาน
กรณีที่ถูกกระแสสังคมรวมถึงมีข้อมูลรายงานระบุว่า นายโตส มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการเชื่อมโยงและเป็นตัวกลางที่ให้นายแป๊ะหรือสาโรจน์เจ้าของปืน ไปพบเจอกับนายวีหรือวีรภัทร คนพามือปืนไปยิง นั้น ส่วนตัวย้ำว่าการที่เพื่อนทุกคนมารวมตัวกันหรือ รู้จักกับนายโตส ก็ไม่ได้หมายความว่านายโตส จะต้องไปเป็นคนกลางในการแนะนำให้ใครรู้จักกัน เพราะส่วนใหญ่เวลาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน หากสนิทสนมหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวก็ไปแลกช่องทางการติดต่อกันเอาเอง ส่วนตัวจึงย้ำว่านายโตสไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
และกรณีที่มีข้อมูลรายงานชุดสืบสวนทำนองว่า บ้านหลังสีชมพูที่ตัวเองอาศัยอยู่ด้วย เป็นบ้านที่เปิดโอกาสให้มือปืน เดินทางมาจอดรถป้ายทะเบียนทะเบียนขอนแก่น และมีการเปลี่ยนขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ของนายวี ออกไปก่อ หลังจากก่อเหตุกลับมาแยกย้ายกันที่บ้านหลังนี้นั้น ส่วนตัวยืนยันว่าไม่เคยพบเห็นมือปืนมาอยู่อาศัยบ้านหลังเดียวกันกับที่ตัวเองอยู่ และไม่เคยสังเกตว่ามีรถป้ายทะเบียนขอนแก่นมาจอดอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ แต่หลังจากเกิดเรื่องชุดสืบสวนได้เอาภาพของมือปืนมาให้ดู ซึ่งก็ยืนยันได้ชัดเจน ว่าตนเองเคยเห็นเข้าออกซอยแต่ไม่รู้ว่าพักอยู่ที่ไหน
นอกจากนี้ยังมีคลิปวีดิโอความยาว 5 นาที ที่ทางญาติของเสี่ยต้น ได้บันทึกไว้ช่วงงานศพของเสี่ยต้น ในวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา โดยเนื้อหาในคลิปเป็นทางญาติของเสี่ยต้น จะมีการพูดคุยกับทางเจ๊มด เพื่อเป็นการปลอบใจหลังเจ๊มด ได้พูดคุยกับพ่อแม่ของเสี่ยต้นเป็นการส่วนตัว (จะไม่ชันสูตรศพ ตกลงกันว่าจะดูแลครอบครัวเสี่ยต้น) ว่าทุกอย่างอยากให้เจ๊มด เป็นคนตัดสินใจเองโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าใครจะว่าอะไร หรือใครมาทำร้าย เพราะทุกคนยอมรับการตัดสินใจของเจ๊มด เนื่องจากเจ๊มด คือภรรยา เป็นคนในครอบครัวของเสี่ยต้น และจะเป็นคนที่จะดูแลครอบครัวของเสี่ยต้นหลังจากนี้ ที่สำคัญทุกคนเชื่อว่าเจ๊มด จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับครอบครัว
ระหว่างการพูดคุยกันเจ๊มด เองก็บอกกับญาติของเสี่ยต้น ว่า ทุกอย่างได้ตัดสินใจไปแล้ว และได้บอกกับพ่อแม่ของเสี่ยต้นไปแล้วด้วย หากพ่อแม่เสี่ยต้นโอเค เจ๊มด พร้อมลูกๆอีก 3 คน ก็สามารถไปต่อได้ นอกจากนี้เจ๊มด ยังบอกอีกว่า แม่ของเจ๊มด เคยเอาดวงเสี่ยต้นไปดูแล้วพบว่าเสี่ยต้น ดวงตก ชะตาขาด แม้จะไปเคยอาบน้ำมนต์ที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี แต่ก็ทำยังไม่ต่อเนื่อง แม่ของเจ๊มด จึงให้พาเสี่ยต้น กลับมาที่บ้านในจังหวัดมหาสารคาม โดยตั้งใจว่าวันที่ 17 เมษายน ซึ่งตรงกับวันที่ถ่ายคลิป จะพาไปอาบน้ำมนต์พร้อมนางสาวส้ม น้องสาวเจ๊มด แต่เสี่ยต้นเสียชีวิตไปก่อน
นอกจากนี้ยังมีอีก 1 คลิป ที่เป็นการพูดคุยกันระหว่างญาติเสี่ยต้น และพ่อของเสี่ยต้น ซึ่งในคลิปทางหลวงพ่อก็บอกกับญาติๆว่า หลังได้พูดคุยกับเจ๊มด ลูกสะใภ้ เจ๊มด ก็รับปากว่าจะดูแลครอบครัวเสี่ยต้น จะหาที่อยู่อยู่ และซื้อบ้านให้กับแม่เสี่ยต้น โดยหลวงตาเองก็โอเคที่เจ๊มด จะดูแลครอบครัว โดยหลวงตา ก็จะจบเรื่องนี้หากเจ๊มด ทำตามข้อตกลง
อย่างไรก็ตามทางคนถ่ายคลิปยังให้ข้อมูลกับทีมข่าวด้วยว่า หลังเจ๊มด ยื่นข้อเสนอให้พ่อแม่เสี่ยต้น ว่าจะซื้อบ้านให้ จะดูแล และทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยการลงบันทึกประจำวันว่าจะยกคอนโดย่านรามคำแหงให้แม่เสี่ยต้นอย่างเดียว แต่ไม่ได้ระบุตามที่คุยเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งเรื่องการดูแล เรื่องบ้าน และรถ กระทั่งญาติเสี่ยต้น มาทราบทีหลังว่า คอนโดที่จะยกให้ได้ทำการรีไฟแนนซ์แล้วเอาเงินไปหมด ใครจะไปอยู่ต่อต้องผ่อนจ่ายเอง ส่วนรถอัลพาร์ดก็เอาไปรีไฟแนนซ์แล้วไม่ผ่อนต่อ จนตอนนี้ไฟแนนซ์มายึดรถไปแล้ว
นายเขษมศักดื์ กันภัย ทีมทนายความ นางสาวมด เดินทางเข้าเยี่ยมเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา โดยมีการเข้าพูดคุยกับทางลูกความประมาณ 10 นาที ก่อนจะออกมาให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นการพูดคุยกับทางลูกความพบว่าลูกความมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการประกันตัวในวันพรุ่งนี้ ซึ่งการพูดคุยในวันนี้ทั้งหมดเป็นเรื่องของการประกันตัว ว่าจะให้ใครดำเนินการประกันตัวอย่างไร ซึ่งตอนนี้คนที่จะเป็นนายประกันคาดว่าจะเป็นส้มน้องสาวของผู้ต้องหา โดยมีการเตรียมเป็นหลักทรัพย์เอาไว้วงเงินประมาณ 1 ล้านบาท เพราะในคดีที่มีอัตราโทษสูงแบบนี้โดยเฉลี่ยศาลอาจจะตีเงินประกันสูงถึงเกือบ 1 ล้านบาท
ขณะที่การพูดคุยในวันนี้ไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องแนวทางการสู้คดีและเรื่องส่วนตัวเรื่องอื่น ซึ่งวันนี้ที่มาพบกับลูกความเห็นว่าลูกความได้พูดคุยอยู่กับ เพื่อนรุ่นพี่ ก็ดูมีสีหน้าท่าทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้การเข้าพบในวันนี้ลูกความไม่ได้ฝากข้อความไปถึงญาติคนไหน พูดคุยกันในเรื่องของการประกันตัวเท่านั้น โดยต่อจากนี้ต้องรอดูทางพนักงานสอบสวนว่าจะมีการดำเนินการส่งตัวลูกความไปฝากขังในวันพรุ่งนี้กี่โมงเมื่อมีการฝากขังทางทีมทนายความก็จะดำเนินการขั้นตอนการยื่นขอประกันตัว และในส่วนของที่จะมีเรียกมีผู้ใดให้เข้าปากคำเพิ่มเติมหรือไม่นั้นตนเองไม่ทราบขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนว่าจะมีเรียกใครก็ให้ปากคำหรือไม่
ล่าสุดช่วงเช้าวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่ สภ.ยางสีสุราช พบว่าวันนี้พนักงานสอบสวนได้เชิญพยานที่อยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุ 4 คน มาให้ปากคำเพิ่มเติม ได้แก่ นายถนอม ผู้ไปรับเสี่ยต้นที่สนามบิน , นางกล่ำ แม่ของเจ๊มด , นางรุณ ญาติลูกพี่ลูกน้องของเจ๊มด และนายวิเชียร สามีของนางรุณ โดยวันนี้ตำรวจนัดพยานทั้ง 4 ปากมาให้ปากคำในเวลา 10 โมงเช้า ซึ่งทั้งหมดจะทำการแยกกันสอบปากคำคนละห้อง ตัวนายถนอมนั้นจะแยกสอบอยู่บนห้องประชุมใหญ่ , ส่วนนางรุณและนายวิเชียรจะถูกสอบอยู่ภายในห้องสืบสวน และนางกล่ำจะถูกสอบอยู่ในห้องสืบสวนอีกห้องที่ค่อนข้างมิดชิดกว่าคนอื่น ๆ
กระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. หลัง?