ความคืบหน้าคดีฆาตกรรมนายไพศาล อายุ 54 ปี หมกศพในห้องพักคอนโด ย่านงามวงศ์วาน จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัว นายภูริณัฐ หรือโฟโต้ หรือ โฟ 2 แว่น อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ได้ที่บ้านพักในจังหวัดชุมพร นั้น
วันนี้ (2 มิ.ย.67 )เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. ทางเจ้าหน้าที่ร้อยเวร ได้มีการแจ้งกับทางสื่อมวลชนว่าจะมีการนำตัวไอ้โฟ 2 แว่น ออกมาจากห้องขัง และจะนำตัวส่งฝากขังยังศาลจ.นนทบุรี ทางนายพรชัย พ่อของไอ้โฟ 2 แว่น ก็ได้มายืนรอลูกชายอยู่บริเวณหน้าห้องขัง
และเมื่อไอ้โฟ 2 แว่น ออกมายากห้องขังเพื่อไปขึ้นรถเตรียมไปส่งฝากขัง ทางไอ้โฟ 2 แว่น ได้ชี้แจงกับสื่อมวลชนเอาไว้ว่า
“เหตุการณ์นี้ก็คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เขาเสียชีวิต ส่วนผมก็ต้องมาเสียอนาคต และคงบอกไม่ได้ว่าเหตุการณ์วันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะเรื่องทุกอย่างบอกตำรวจไปหมดแล้ว แต่ยืนยันว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ส่วนวันเกิดเหตุทางตนยอมรับว่าไปซื้อมีดจริงๆ แต่ไม่ได้ไปซื้อเพื่อเตรียมการก่อเหตุ แต่เป็นการไปซื้อเพื่อป้องกันตัวเอง ในการไปพบกับเสี่ยไพศาล เพราะก่อนหน้านี้เคยมีปัญหากันมาหนักแล้ว และไม่รู้ว่าทางเสี่ยไพศาลจะทำร้ายอะไรตนอีกหรือไม่ เนื่องจากทางตนมีปัญหาทางร่างกายอยู่แล้ว ถ้าโดนทำร้ายอีกนิดเดียวก็คงไม่รอดแน่ๆ ส่วนบัตรประชาชนของผู้อื่นที่อยู่ที่ตน ทางตนได้ชี้แจงกับทางเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ไม่สามารถบอกได้ เดี๋ยวจะกระทบกับสำนวน สุดท้ายอยากจะขอโทษเสี่ยไพศาลและครอบครอบเสี่ยไพศาล แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะให้อภัยตน”
ก่อนที่จะขึ้นรถของตำรวจไป ซึ่งภายในรถนายพรชัย ผู้เป็นพ่อก็นั่งรถไปที่ศาลพร้อมกับทางเจ้าหน้าที่และลูกชายด้วย และเมื่อทุกอย่างพร้อมทางเจ้าหน้าที่ก็ขับรถออกไปจากสภ.เมืองนนทบุรี เพื่อมุ่งหน้าไปที่ศาลทันที
นายพรชัย พ่อของไอ้โฟ 2 แว่น ได้เดินทางมาเยี่ยมลูกชายที่สภ.นนทบุรี เป็นครั้งสุดท้าย และก่อนที่จะนำไอ้โฟ 2 แว่น ไปฝากขัง ทางนายพรชัยได้เผยกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า คนเป็นพ่อลูกทำผิดเราก็เสียใจ แต่ส่วนตัวในใจลึกๆ ก็ยังเป็นห่วงลูกอยู่ ซึ่งกังวลว่าลูกจะใช้ชีวิตในเรือนจำอย่างไร แต่ก็บอกลูกไปว่ายังไงก็ต้องปรับตัวให้อยู่ภายในเรือนจำให้ได้ นอบน้อมตนเพราะไม่รู้ว่าข้างในเราจะเจอคนประเภทไหนบ้าง
สำหรับทางลูกชายตอนนี้ก็ไม่ได้มีความวิตกกังวลอะไรมากแล้ว ก็พร้อมยอมรับในสิ่งที่ตัวเองก่อไว้ ทั้งนี้ก็ไม่รู้ใจลึกๆลูกจะคิดอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ต้องยอมรับความจริงกับสิ่งที่ตัวเองก่อไว้ ซึ่งเราก็เห็นทางลูกชายยิ้มแย้มแบบนี้แต่ก็ไม่รู้ว่าในใจลึกๆ เขาจะดิ่งขนาดไหน
อีกทั้งที่มีการนำเสนอออกไปในเรื่องของลูกชายภายในห้องสอบสวนที่มีอาการยิ้มและหัวเราะเป็น ระยะๆ อยากจะชี้แจงแทนลูกชายว่าที่เห็นแบบนั้นไม่ใช่ลูกชายไม่สลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของลูกชาย ที่เวลาพูดคุยอะไรก็มักจะเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสและเข้ากับทุกคนได้ง่าย จึงจะได้เห็นภาพในการพูดคุยกันมีความยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอด หรือบางทีอาจจะมีการยิ้มผ่านทางสายตาเลยก็มีซึ่งมันเป็นนิสัยส่วนตัวของทางลูกชายจริงๆ
และหากลูกชายได้รับโทษและออกจากเรือนจำ ทางตนก็มองลู่ทางให้ลูกชายเอาไว้แล้ว โดยจะให้ลูกชาย ไปทำสวนทุเรียนที่ จ.ชุมพร ไปอยู่แบบสงบสบายๆ ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร ส่วนทางแม่และญาติๆของลูกชาย ตอนนี้ก็เริ่มทำใจกันได้แล้วกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และเรื่องที่มีข่าวเผยออกไปว่าทางญาติไม่มีใครทราบเลยว่าทางลูกชายนำสิ่งของอะไรที่เกี่ยวกับคดีดังกล่าวไปเผาทิ้ง ก็ขอยืนยันว่าทางญาติไม่ทราบจริงๆและก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะอะไรอาจจะเป็นเพราะไม่ได้สนใจว่าลูกชายจะทำอะไรเพราะตั้งแต่แรกไม่มีใครสงสัยว่าลูกชายจะเป็นฆาตกร สุดท้ายตนก็ยืนยันว่าต้องการที่จะไปขอขมาศพเสี่ยไพศาล แต่ก็ต้องดูว่าทางญาติของเสียไปศาลจะยอมให้ทางตนไปขอขมาศพหรือไม่ ถ้าหากไม่ก็คงจะมีการทำบุญไปให้
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 2 มิ.ย.67 ที่คอนโดแห่งหนึ่ง ภายในซอยงามวงศ์วาน 6 ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี นายฉัตรชัย ทองอ่อน อายุ 55 ปี นางบรรจง อายุ 77 ปี และหลานสาว พร้อมด้วย พระธวัชชัย พระวัดทางหลวง นนทบุรี เดินทางมาที่ห้องของผู้เสียชีวิต ชั้น 6 เพื่อทำพิธีเชิญวิญญาณ นายไพศาล อายุ 54 ปี ที่ถูกนายภริณัฐ หรือโฟโต้ อายุ 27 ปี ฆ่าปาดคอเสียชีวิต เมื่อคืนวันที่ 20 พ.ค.67 เวลา 23.58 น. จากนั้นทิ้งศพไว้ในห้องพัก
โดยพิธีเชิญวิญญาณ ทางนิติบุคคลไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนขึ้นไปทำข่าวบนอาคาร โดยทางนิติบุคคลจะให้เจ้าหน้าที่ทำการบันทึกภาพพิธีให้
ระหว่างที่ทำพิธีเชิญวิญญาณ เจ้าอาวาสวัดทางหลวงได้สวดคาถา ตามหลักศาสนา ใช้เวลาบนห้องประมาณครึ่งชั่วโมง จึงลงมาให้สัมภาษณ์สื่อ พระธวัชชัย ทองอ่อน พระวัดทางหลวง นนทบุรี โดยมีการเตรียมกระถางธูป สายสิญจน์ ธูป
โดยทางด้าน พระธวัชชัย ทองอ่อน พระวัดทางหลวง นนทบุรี เผยกับสื่อมวลชนว่า ตนเองก็ได้มาเชิญวิญญาณ แล้วเดี๋ยววันอังคารจะไปนำศพกลับวัด ตอนอยู่ข้างบนก็รู้สึกขนลุก โดยบนห้องก็เป็นห้องเปล่าๆ ซึ่งยังคงมีกล่นเหม็นอยู่บ้าง ตนเองก็รู้สึกขนลุกทั้งตัวเมื่อเข้าไปในห้อง
แม่เขาก็จุดธูปเชิญ ก็ขนลุกเลย ก็ไม่ได้เป็นคาถาอะไรเยอะแยะ พูดกันตามปกติเป็นภาษาไทย ซึ่งจริงๆผู้ตายนั้นก็เป็นลูกพี่ลูกน้องตน นามสกุลเดียวกัน เขาก็เป็นคนเงียบๆ ไม่พูดจากับใครเท่าไหร่
ขณะที่นางบรรจง อายุ 77ปี แม่ของผู้เสียชีวิต เผยกับสื่อมวลชนว่า เมื่อกี้ขึ้นไปตนก็บอกกับดวงวิญญาณลูก ว่าตนมารับกลับบ้านนะ กลับบ้านกันนะ คิดว่าเขาคงรับรู้ได้
เมื่อเช้าที่ฝากแม่ขังไปตนก็ดูบ้างแล้ว รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ตำรวจดำเนินคดีคนก่อเหตุ โดยในส่วนที่เค้าอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวนั้น เค้าพยายามพูดตั้งแต่ตอนแรกแต่แม่มองว่ามันไม่ใช่การป้องกันตัว ลูกตนไม่ใช่คนสู้คน จะไปทำใครเขาได้
ขณะที่การพูดขอโทษผ่านสื่อนั้นเรามองว่ามันเป็นการแสดงออกเพื่อเอาตัวรอด มองว่ามีทนายสอนมาหรือไม่ให้พูดแบบนี้ ส่วนการร้องขอให้ช่วยเหลือเยียวยานั้นทางครอบครัวยืนยันว่าไม่ได้มีการเรียกร้อง
ทางทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนางสาวอิศรยา อายุ 24 ปี หลานของเสี่ยไพศาล ผู้เสียชีวิต โดยนางสาวอิศรยา เผยว่า ทางตนภาวนาอยู่ตลอดว่าขอให้จับคนร้ายที่ทำกับอาของตนเช่นนี้ให้ได้ในเร็ววัน ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่อง คนในครอบครัวไม่มีใครออกไปทำงานเลย มีแต่ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะจับตัวได้สักที
และหลังจากที่จับผู้ก่อเหตุได้ ทางครอบครัวก็อยากจะไปดูหน้าของคนก่อเหตุเช่นกัน แต่กลัวว่าจะอดใจไม่ไหวและเกิดการรุมประชาทัณฑ์จากญาติๆของอา จึงตัดสินใจไม่ไปดีกว่า อีกทั้งช่วงที่จับมาได้และเห็นหน้าค่าตาว่าเป็นหน้าตาดีมีชาติตระกูล ก็อยากทุบมันให้สาสมกับที่ทำกับอา เชื่อว่าถ้าคนในครอบครัวเห็นมันก็คงอยากฆ่าให้มันตายแบบที่มันทำกับอา
ส่วนเรื่องที่ไอ้โฟ 2 แว่น สวมรอยใช้ไลน์ส่วนตัวของอา ทักมาให้ตนส่งกระเป๋าสตางค์และเอกสารต่างๆไปให้เพื่อจะเดินทางไปจีน ซึ่งเรื่องนี้ทางตนก็มีความสงสัยและเอะใจอยู่พอสมควร เพราะเรื่องของการใช้ภาษาในการพิมพ์หา ทางอาตนไม่ได้พิมพ์หรือใช้ข้อความในลักษณะดังกล่าว แต่ในเมื่อเป็นไลน์ของอาตนทักมา ก็คงไม่มีใครจะคิดว่าจะมีคนสวมรอยเป็นอาเช่นนี้ และเชื่อว่าไอ้โฟ 2 แว่น คงต้องการแค่กระเป๋าสตางค์ของอาตนเท่านั้น แต่ต้องตีเนียนขอเอกสารอื่น เพราะจะได้แนบเนียนว่าจะไปจีนจริงๆ
สุดท้ายทางอาของตน ถือเป็นเสาหลักของครอบครัวคอยดูแลเอาใจใส่ตนในครอบครัวเป็นอย่างดี ซึ่งพอขาดอาไปเช่นนี้ ทุกคนในครอบครัวก็รู้สึกเศร้าหมองและยังคงไม่มีใครรับได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น