จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความเรียกร้องขอความเป็นธรรม โดยเล่าเรื่องราวไว้ว่า “แฟนจอดติดไฟแดงอยู่ แล้วโดนชนขาหักสองท่อน ชนแล้วหนี มีพลเมืองดีติดตามตัวกลับมาได้ เจ้าหน้าที่ออกมาที่เกิดเหตุทำการถ่ายสถานที่เกิดเหตุ ทะเบียนรถและบัตรประชาชนผู้ขับขี่ไว้ และได้ให้คู่กรณีไปโรงพัก แต่คู่กรณีก็ได้หนีไปอีกรอบ และทำการปิดเครื่องไม่ติดต่ออะไรเลย 3-4 วัน ในขณะเกิดเหตุคู่กรณีมีอาการมึนเมาแต่ตำรวจไม่ได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในที่เกิดเหตุ




มาสืบทราบภายหลังว่า คู่กรณีเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ตอนนี้ร้องไปที่เพจไหนเรื่องเงียบหมดเลย โดนชนแล้วยังต้องมาเป็นหนี้อีก คนระดับล่างแบบหนูกับแฟนพอจะมีสิทธิ์ได้รับความเป็นธรรมจากคนใหญ่คนโตไหมค่ะ”




ล่าสุดวันนี้ (29 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดเหตุการณ์วันเกิดเหตุ 14 เมษายน เวลาประมาณ 18.10 น. 2 มุม ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณสี่แยกวัดเสมียนนารี สามารถบันทึกภาพขณะรถกระบะของผู้ช่วยศาสตราจารย์ดอกเตอร์ (ผศ. ดร.) ขับด้วยความเร็วผ่านสี่แยก ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายให้ข้อมูลว่า ไฟจราจรกำลังเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง ส่วนผู้เสียหายกำลังจอดรถติดไฟแดงอยู่อีกฝั่งข้ามถนน จากนั้นรถกระบะได้ขับข้ามแยกและพุ่งชนผู้เสียหายเข้าอย่างจัง และได้ขับหลบหนีไปต่อ แต่มุมภาพขณะชนถูกเสาสะพานมาบังทำให้ไม่เห็นภาพตอนชน


ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปพบกับนายกฤษณณัยณ์ หรือ ดล อายุ 31 ปี ผู้เสียหาย ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมา ช่วงวันสงกรานต์ ตนเองซึ่งทำงานเป็นช่างแอร์และเครื่องจักร เลิกงานเวลา 5 โมงเย็น เนื่องจากอยู่ทำโอที จากนั้นได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านพัก


แต่ระหว่างขี่รถกลับได้จอดรถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกวัดเสมียนนารี เขตจตุจักร โดยจอดรถอยู่ในเลนที่สอง ระหว่างนั้นได้มีรถกระบะ ยี่ห้อฟอร์ด เรนเจอร์ สีส้ม ป้ายเลขทะเบียนพิษณุโลก ได้ขับรถมาด้วยความเร็วมุ่งหน้ามาจากแยกบางเขน ฝั่งตรงข้ามที่ตนเองจอดรถติดไฟแดงอยู่ ซึ่งขณะนั้นไฟจราจรฝั่งกระบะกำลังจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง จากนั้นรถกระบะคันดังกล่าวได้ขับพุ่งชนเข้าอย่างจัง และขับรถหลบหนีไปทันที ไม่มีการจอดชะลอดูตนเองเลย โชคดีที่มีพลเมืองดีเห็นเข้าจึงรีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามกระบะคันดังกล่าวไป เพื่อให้กลับมารับผิดชอบ


จากนั้นผ่านไปสักพัก คนขับกระบะคู่กรณีได้กลับมายังที่เกิดเหตุลงจากรถมาในสภาพคล้ายอาการมึนเมา ตนเองซึ่งบาดเจ็บขาหักกำลังรอปฐมพยาบาลอยู่ ได้สอบถามคนขับกระบะกล่าวว่า “พี่เมามาเหรอ” ซึ่งคนขับกระบะได้ตอบกลับตนเองว่า “เมา” จากนั้นพี่ชายของตนเองได้ตามเข้ามาอย่างที่เกิดเหตุและได้สอบถามคนขับกระบะอีกครั้งว่า “สรุปเมาใช่ไหม” ซึ่งคนขับกระบะก็ยังย้ำคำเดิมว่า “ใช่ ผมเมา ขอโทษ ๆ”


จากนั้นตนเองได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และมอบหมายให้พี่ชายติดตามเรื่องคดีต่อ ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ไม่ได้มีการตรวจแอลกอฮอล์กับคนขับกระบะ แต่บอกว่าให้พี่ชายของตนเองและคนขับกระบะไปเคลียร์กันที่โรงพัก แล้วจะมีการจับตรวจแอลกอฮอล์ที่โรงพักอีกครั้ง ระหว่างนั้นพี่ชายของตนได้เดินทางไปรอกระบะคู่กรณีที่ สน.ประชาชื่น แต่รออยู่นานก็ไม่พบคนขับกระบะคู่กรณีตามมาที่โรงพัก และมารู้จากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าคนขับกระบะคู่กรณี ได้หลบหนีไม่มาตามนัดแล้ว


หลังจากเกิดเหตุตนเองต้องเข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเกือบเดือนกว่าแล้ว คนขับกระบะคู่กรณีเคยแวะมาที่โรงพยาบาลและนำเงินสดจำนวน 2,000 บาท มาให้ตนเองแค่นั้น อ้างว่าเป็นค่าข้าว จากนั้นก็ไม่เคยติดต่อมาเพื่อขอรับผิดชอบอะไรอีกเลย เวลาโทร. ไปก็อ้างว่าได้มอบหมายให้ประกันเป็นคนเคลียร์เรื่องให้เรื่องค่าเสียหาย แต่เมื่อตนเองไปคุยกับประกัน บอกเพียงว่า “มีค่าเสียหายให้แค่ 1 แสน ถ้ามากกว่านั้นก็ไปฟ้องเอาแล้วกัน” ซึ่งประโยคนี้ตนเองเจ็บปวดมาก เพราะตนเองตอนนี้แทบกลายเป็นคนพิการ กลับมาเดินแบบคนปกติไม่ได้ตลอดชีวิต ทำงานไม่ได้อีกแล้ว แถมค่ารักษาพยาบาลตอนนี้ก็เกือบ 2 แสนบาทแล้ว ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาจ่าย




ยิ่งไปกว่านั้น ตนเองมารู้ภายหลังว่า คนขับกระบะคู่กรณี ก็ไม่ได้มีฐานะยากจน ตนเองเอาชื่อไปค้นหาในอินเทอร์เน็ตก็พบว่า คนขับเป็นถึงระดับ ผศ. ดร. ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิษณุโลก และไม่รู้ว่าตนเองจะได้รับความเป็นธรรมเมื่อไร คดีจนถึงตอนนี้ตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับ ผศ. ดร. ท่านนี้เลยด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ หลักฐานก็ชัดเจน แถมหลังเกิดเหตุได้ขับหลบหนี ไม่มาเป่าแอลกอฮอล์อีก


ตนเองเคยถามพนักงานสอบสวนว่า ทำไมไม่ตรวจแอลกอฮอล์คู่กรณีหลังเกิดเหตุ แต่พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีกลับตอบตนเองว่า “แล้วคุณไปลากคอมันมาตรวจได้ไหมล่ะ” ซึ่งตนเองเป็นเพียงประชาชนธรรมดา ๆ แต่กลับเจอแบบนี้ ตอนนี้ชีวิตตนเองลำบากมาก จากที่เคยมีรายได้ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน ตอนนี้ไม่สามารถทำงานได้อีกแล้ว แถมยังต้องมีแม่ที่ต้องดูแลเป็นเสาหลักของบ้าน จึงขอให้ตำรวจช่วยติดตามคดีให้ตนเองด้วย


ส่วนความคืบหน้าทางคดีวันนี้ทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามกับ พ.ต.อ.สัญญา อุบลวิรัตนา ผกก. สน.ประชาชื่น ยอมรับว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับคนขับกระบะคู่กรณีจริง แต่เกิดจากความล่าช้าในการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากตัวคนขับกระบะทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง ในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตนเองได้เร่งรัดให้พนักงานสอบสวนรีบแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว โดยรับปากกับทีมข่าวว่าไม่ต้องห่วง และจะมีการแจ้งข้อหากับอาจารย์คนดังกล่าวภายใน 1 อาทิตย์นี้แน่นอน ขอโทษในความล่าช้า




ส่วนเหตุผลที่ตำรวจไม่ได้ตรวจแอลกอฮอล์อาจารย์คนดังกล่าว หลังจากเกิดเหตุเนื่องจากอาจารย์ได้หลบหนีไม่มาตามนัด ซึ่งตำรวจเตรียมแจ้งข้อหาฐาน หลบหนีการตรวจไปแล้ว ซึ่งก็เป็นข้อหาหนักเช่นกัน รวมถึงขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ส่วนพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีที่พูดจาไม่ดีกับผู้เสียหาย ขณะนี้ตนเองอยู่ระหว่างการซักถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะมีการพิจารณาบทลงโทษต่อไป




ล่าสุดทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถาม ผศ. ดร.ใจดี (นามสมมติ) ซึ่งทราบว่าเป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเจ้าตัวได้ชี้แจงกับทีมข่าวว่า ในวันเกิดเหตุตนเองพักผ่อนน้อย เนื่องจากทำงานหนัก รวมถึงมีความเครียดเรื่องหนี้สินและปัญหาครอบครัว ทำให้ขับรถไม่ระวังและเกิดอุบัติเหตุ และยืนยันว่าตนเองไม่ได้เมาขณะขับรถอย่างที่ผู้เสียหายบอก


ส่วนเหตุผลที่ตนเองต้องขับรถหนีและไม่ยอมเดินทางไปวัดแอลกอฮอล์ที่โรงพักนั้น เนื่องจากตนเองไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เพิ่งขับรถชนคนครั้งแรกทำให้เกิดความตกใจทำอะไรไม่ถูก จึงได้ขับรถกลับบ้านเพื่อไปตั้งหลักก่อนเท่านั้น โดยไม่มีเจตนาหนี




และหลังจากเกิดเรื่องตนเองได้เดินทางไปเยี่ยมผู้เสียหายแล้ว พร้อมกับมอบเงินให้ใช้ก่อนเล็กน้อย และยืนยันว่าตนเองไม่ได้เลี่ยงการชดใช้เยียวยา แต่ทางผู้เสียหายได้เรียกค่าเสียหายทั้งหมดจำนวน 900,000 บาท ซึ่งตนเองมองว่ามากเกินไป จึงได้มอบหมายให้ประกันเป็นคนกลางในการพูดคุยเรื่องค่าเสียหายก่อน ซึ่งตนเองไม่ทราบเลยว่าประกันไปคุยอะไรกับผู้เสียหายบ้าง แต่มั่นใจว่าประกันไม่ได้บอกว่าจ่ายแค่ 100,000 บาท แล้วจบ


และตนเองอาจจะแจ้งความกลับผู้เสียหาย กรณีที่เอาข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นความจริงไปให้นักข่าวนำเสนอหากตนเองได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง ส่วนที่พนักงานสอบสวนยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาตนเองไม่รู้ว่าเพราะอะไรและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังถูกแจ้งข้อหา

 

พีกในพีก! ผศ.ดร. ชนแล้วหนี-ไร้เยียวยา แจ้งความเจอตำรวจด่าซ้ำ