จากรณีการเสียชีวิตของ นายพิชิต หรือ เสี่ยต้น เจ้าของธุรกิจสอนนวดแผนไทย หลังถูกพบเป็นศพเสียชีวิตหน้าบ้านภรรยาที่ จ.มหาสารคาม และต่อมาพบว่าก่อนเผา ศพได้กลายเป็นสีดำ ญาติ ๆ เชื่อว่าน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเพราะก่อนจะเสียชีวิต เสี่ยต้นได้ถูกลอบยิงและยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ นั้น

 

วันนี้ (28 พ.ค.67) เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้เชิญพยาน 2 คน มาให้ปากคำเพิ่มเติม ที่ สภ.ยางสีสุราช คือ นายเเสวง คะกะเนปะ อายุ 73 ปี สัปเหร่อที่ทำการเผาศพเสี่ยต้น (ผู้ตาย)ในวันที่ 19 เมษายน / นอกจากนี้ยังเชิญ นางทองนาค คำเเหงพล อายุ 65 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของร้านให้เช่าโลงเย็นที่ใช้เเช่ศพของเสี่ยต้นตั้งเเต่วันเสียชีวิต จนถึงวันเผา โดยมีการแยกสอบปากคำ พยานทั้งสองคนก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี / ส่วนสาเหตุที่ทางเจ้าหน้าที่เชิญตัวสัปเหร่อและเจ้าของโรงเย็นมาให้ปากคำนั้นก็เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับสภาพศพของผู้ตายที่ผิวดำคล้ำผิดเเปลกจากศพทั่วไป

 

ด้านนายแสวง เปิดเผยกับทีมข่าวภายหลังจากเสร็จสิ้นการให้ปากคำกว่า 6 ชั่วโมง (09.30 - 15.30) บอกว่า วันนี้ตนเองเดินทางมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นครั้งแรก โดยตำรวจเน้นสอบถามในเรื่องของสภาพศพเป็นหลัก ตนเองก็ให้การไปตามข้อเท็จจริงว่าห้วงเวลาวันที่เสี่ยต้นเสียชีวิตนั้น ตนเองไม่ได้เห็นและไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับศพ แต่มาเห็นอีกทีคือวันที่ 19 เมษายน ซึ่งเป็นวันเผา ก็พบว่าสภาพศพนั้นดำคล้ำผิดปกติ เพราะตนเป็นสัปเหร่อมา 4 ปี ไม่เคยเจอศพที่ดำแบบนี้มาก่อน แต่ ณ ตอนนั้นไม่มีใครทักท้วงอะไร ประกอบกับญาติไม่ติดใจสาเหตุการตาย ตนเองก็เผาไปตามหน้าที่

 

โดยการเผา มีการราดน้ำมันแล้วใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 3 กระสอบ ใช้เวลาเผาตั้งแต่เวลา 16.00 น. จนกระทั่งถึงเวลา 06.00 น. ของอีกวัน รวมระยะเวลา 14 ชั่วโมง หลังจากทำการเผาเสร็จสิ้นหน้าที่ต่อมาของตนคือการเก็บรวบรวมกระดูกของผู้ตาย กระดูกบางส่วนแบ่งให้ญาตินำไปใส่โกศ ส่วนกระดูกที่เหลือก็นำใส่หม้อเอาไปฝังดินตามความเชื่อของคนในพื้นที่ ส่วนที่พบว่ากระดูกเป็นสีดำ ซึ่งพบไม่ค่อยบ่อยและจะมีเพียงบางบางศพเท่านั้นที่เป็นสีดำ ส่วนศพที่ป่วยตายตามธรรมชาติหรือศพที่ทานยารักษาโรคต่าง ๆ ก่อนตาย ส่วนมากกระดูกจะเป็นสีขาว แต่ตนก็ไม่มีความรู้ จึงไม่ทราบว่าเหตุใดกระดูกจึงเป็นสีดำ

 

ต่อมาทีมข่าวได้เข้าไปพูดคุยกับนางทองนาค อายุ 65 ปี และนายจักรกฤษณ์ อายุ 39 ปี ซึ่งเป็นแม่ลูกเจ้าของร้านหีบศพที่ให้บริการเช่าโลงเย็นแก่ศพของเสี่ยต้นในวันที่ 16 เม.ย.67 โดยทีมข่าวก็เคยสัมภาษณ์นางทองนาคแล้ว 1 ครั้ง (ในวันที่ 20 พ.ค.67) ซึ่งเจ้าตัวก็ยืนยันว่าโลงเย็นไม่ได้มีปัญหาอะไรนอกจากความเย็นไม่ฉ่ำ แต่ก็ได้ทำการเปลี่ยนโลงเย็นอันใหม่ให้ทันทีในช่วงเย็นของวันที่ 16 เม.ย.67 ซึ่งต่อมาทางด้านนางกล่ำหรือญาติฝ่ายนางสาวมดก็ออกมาโต้ว่าไม่เป็นความจริง โลงเย็นอันที่ 2 ถูกนำมาเป็นในช่วงเย็นของวันที่ 17 เม.ย.67 ต่างหาก

 

ล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เชิญเจ้าของร้านหีบศพไปสอบปากคำเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ด้านนายจักรกฤษณ์ ก็ได้ยอมรับว่าเป็นความคลาดเคลื่อนของทางร้านจริง เพราะหลังจากที่ได้ให้สัมภาษณ์ไปวันก่อน ตนก็ได้กลับมาตรวจสอบและไล่เรียงไทม์ไลน์ใหม่ทั้งหมด จึงพบว่าการเปลี่ยนโลงเย็นครั้งที่ 2 ถูกเปลี่ยนในช่วงเย็นของวันที่ 17 เม.ย.67 ซึ่งผิดกับตอนแรกที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นวันที่ 16 เม.ย.67 ในส่วนนี้ตนก็ได้เข้าไปขอโทษนางกล่ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนไม่ได้มีเจตนาจะให้ข่าวบิดเบือน เพียงแต่จำวันเวลาผิดเนื่องจากช่วงนั้นมีงานศพค่อนข้างเยอะ จึงทำให้จำสลับสับสน แต่นายจักรกฤษณ์ก็ยังคงยืนยันว่าในวันแรกที่นำโลงเย็นไปใส่ศพของเสี่ยต้นนั้นโลงเย็นไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่น้ำยาแอร์มันเกิดการรั่วไหลจึงทำให้ความเย็นค่อย ๆ รั่วซึมออกมาข้างนอก กระทั่งตอนที่เข้าไปเปลี่ยนโลงเย็นอันใหม่ก็ไม่ได้พบกับความผิดปกติใด ศพก็ไม่ได้ส่งกลิ่นแรงถึงขนาดจะเน่าเหม็นจนต้องเอามือปิดจมูก แต่ตนก็ยอมรับว่าไม่ได้เปิดฝาโลงไม้เพื่อดูสภาพศพว่าจะได้รับความเสียหายหรือไม่อย่างไร เนื่องจากใกล้เวลาที่พระจะต้องเข้ามาสวดอภิธรรมศพ พนักงานจึงรีบทำการสับเปลี่ยนโลงเย็นให้ได้ไวที่สุด นอกจากนี้นายจักรกฤษณ์และนางทองนาคยังคงยืนยันว่าตั้งแต่ทำงานเปิดร้านขายหีบศพก็ยังไม่เคยเห็นสภาพศพที่มีสีดำขนาดนี้ และหากจะบอกว่าศพดำเพราะโลงไม่เย็น ตนก็ยังยืนยันว่าเป็นไปได้ยากเพราะหากโลงเย็นเสียจริง อากาศข้างในโลงจะมีความร้อนมากกว่าอากาศข้างนอกประมาณ 5-10 องศาเซลเซียส สภาพศพก็จะต้องเน่าและมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะลิ้นจุกปาก ตาถลน ไม่ใช่การเปลี่ยนเป็นสีดำแบบนี้

 

 

จ่อปิดคดี! "เสี่ยต้น" ตายปริศนา "สัปเหร่อ" เผยพิรุธ ไม่ใข่แค่ศพแต่ "ดำยันกระดูก"