กรณี เมื่อเวลา 16.00 น. ของ วันที่ 12 พ.ค.67 ตำรวต สภ.ระเบาะไผ่ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ได้รับแจ้ง พบรถกระบะถูกจอดทิ้งเอาไว้ ภายในไร่มันสำปะหลังที่กำลังปลูกใหม่ ซึ่งรถพบร่างของ ด.ต.สกล หรือดาบโก้ อายุ 43 ปี ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว.อำนาจเจริญ เคยเป็นตำรวจประจำที่ สภ.ระเบาะไผ่ มาก่อน (อยู่ระหว่างย้ายมาปฏิบัติราชการในพื้นที่ระเบาะไผ่อีกครั้ง) และภายในรถยังพบศพนางจันสอน อายุ 25 ปี ภรรยา (ชาวลาว) ซึ่งถูกหยิกด้วยอาวุธปืนนั้น
วันนี้นางแก่นจันทร์ ได้เดินทางไปอันเชิญวิญญาณของลูกสาวพร้อมกับลูกเขยและหลานภายในรถคันที่เกิดเหตุบริเวณจุดจอดรถของกลางด้านหน้าสภ. ระเบาะไผ่ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งทางนางแก่นจันทร์ ได้จุดธูป 1 ดอกพร้อมกล่าวออกมาทั้งน้ำตาว่า ให้ดาบโก้น้องแล็กพร้อมหลานเดินทางกลับบ้านเรา และก็ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่าทางลูกสาวและดาบโก้ได้ตั้งชื่อหลานไว้แล้วว่าชื่อน้องแครอท จากนี้ไปก็จะเดินทางไปรับร่างของลูกพร้อมดาบโอ้และหลาน จากนั้นจะนำร่างของลูกสาวลูกเขยและหลานที่อยู่ในท้องไปบำเพ็ญกุศลศพที่จังหวัดอำนาจเจริญบ้านเกิดของลูกเขย ก่อนจะทิ้งท้ายว่าอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับผู้ติดก่อเหตุให้ถึงที่สุด
ล่าสุดทางผู้กำกับสภ. ระเบาะไผ่แจ้งว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้เดินทางไปรับตัวผู้ต้องหาที่จังหวัดสระบุรี หลังจากที่ผู้ต้องหาติดต่อขอมอบตัว ก่อนจะนำมาทำการสอบสวนและจะแถลงข่าวในช่วงบ่ายของวันนี้ ส่วนเรื่องทำแผนนั้นคาดว่าจะไม่สามารถทำได้เนื่องจากในพื้นที่เกิดฝนตกหนัก
นางแก่นจัน อายุ 52 ปี แม่ของน้องแล็ก ภรรยาท้องวัย 6 เดือนของดาบโก้ ได้เดินทางมาให้ปากคำกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สภ.ระเบาะไผ่ โดยเข้าไปให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ห้องสอบสวนมากกว่า 3 ชั่วโมง โดยทางพ่อได้เดินทางไปกับญาติเพื่อไปเก็บเสื้อผ้าของดาบโก้และน้องเเล็ก ที่ห้องพักป้อมตำรวจกรอกสมบูรณ์ซึ่งเป็นจุดพักครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิต ก่อนกลับออกมาเปิดใจกับทางผู้สื่อข่าวว่าทางเจ้าหน้าที่ทำเอกสารให้ไปรับศพ และเอกสารยื่นกระทรวงยุติธรรม ส่วนเรื่องเงินสดจำนวน 5-60000 ที่ทางลูกสาวมีนั้นหายหมด เห็นเพียงแค่กระเป๋า ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าทางลูกนั้นมีเงินหรือไม่แต่ที่คุยกันอาทิตย์ก่อนบอกว่าทางลูกสาวจะเก็บเงินเพื่อกลับไปคลอดลูกที่ลาว ส่วนทางครอบครัวทางลูกเขยคุยกันแค่ว่าให้นำศพทั้งคู่กลับไปที่อำนาจเจริญ ส่วนลูกสาวที่เดินทางมาอยู่ประเทศไทยนั้นตนรู้แค่เพียงว่าเดินทางมาอยู่กับแฟนที่เป็นข้าราชการเท่านั้น ส่วนทางด้านที่ทางคนร้ายได้มามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตนก็อยากจะถามว่าทำไมถึงลงมือฆ่าลูกของตนได้ทั้งที่รู้ว่าเขาท้อง อยากรู้สาเหตุว่าลูกเขยไปทำอะไรให้ถึงได้ลงมือฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้ ส่วนในเรื่องของการดำเนินคดีก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย แล้วแต่ทางเจ้าหน้าที่เขาจะดำเนินการ โดยลูกสาวตนจะเดินทางไปมาระหว่างไทยตลอด ซึ่งช่วงที่ตั้งท้องก็ไปฝากท้องที่จังหวัดหนองคาย ส่วนเรื่องฌาปนกิจศพนั้นทางตนได้คุยกับทางครอบครัวของลูกเขยแล้วว่าจะนำร่างทั้งสองไปฌาปนกิจศพที่จังหวัดอุดรธานีบ้านลูกเขย หลังจากที่เผาศพเสร็จแล้วถึงจะนำกระดูกลูกสาวกลับไปสปป.ลาว ล่าสุดที่ได้คุยกับลูกสาวตนได้บอกลูกสาวว่าท้องเริ่มโตแล้วให้กลับไปอยู่บ้านที่ลาวกับตน พาลูกสาวแจ้งตัวตนว่าวันที่ 28 ที่จะถึงนี้จะกลับไปประเทศลาวเพื่อรอคลอด แต่ก็มาเสียชีวิตเสียก่อน
ทีมข่าวได้ภาพวงจรปิดวันเดียวกัน 11 พ.ค. เวลาประมาณ 01.38 น. ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดตรงข้ามป้อม ซึ่งเป็นที่พักของดาบตำรวจสกล
โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพรถกระบะของดาบตำรวจสกลซึ่งเดินทางมาพร้อมกับภรรยา เดินทางมาที่ป้อมเพื่อที่จะเข้าพักในคืนดังกล่าว ก่อนวันรุ่งเช้าจะขับรถออกจากป้อมแล้วถูกกลุ่มคนร้ายนัดเคลียร์ใจระหว่างทางและถูกยิงตาย , ในภาพจากกล้องวงจรปิดจะเห็นมอเตอร์ไซค์ซึ่งเพื่อนตำรวจของดาบสกล ขับรถตามมาด้วยโดยเอาผ้าห่มและหมอนขับตีคู่ มาส่งพี่ป้อมตำรวจ
วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวช่องแปดแยกตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมบริเวณสี่แยกย่อยตำรวจภูธระเบาะไผ่ โดยโดยเป็นสถานที่สุดท้ายที่ดาบตำรวจสกลหรือดาบโก้ เดินทางไปพร้อมกับภรรยาท้อง9เดือน หลังจากที่เดินทางออกจากที่ตู้ตำรวจย่อย ปรากฏว่าระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับไปยังที่พัก เจอกลุ่มคนร้ายนัดเคลียร์ ก่อนถูกยิงเสียชีวิต
โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งเป็นของเทศบาลตำบลกรอกสมบูรณ์ จับภาพสุดท้ายของภรรยาที่ท้อง 9 เดือน และตัวของดาบตำรวจสกล ลักษณะเดินไปมาอยู่ที่ป้อมตำรวจก่อนที่จะขับรถออกไป
จากนั้นมีภาพจากกล้องวงจรปิด บริเวณแยกระเบาะไผ่ จากภาพความเคลื่อนไหวซึ่งจะเห็นรถของดาบตำรวจสกล ขับไปจอดติดไฟแดง ก่อนที่จะขับมุ่งหน้าไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดหลายรั้วจากภาพไว้ได้ บริเวณแยกไฟแดง
และยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดวันเดียวกัน จับภาพรถกระบะของดาบตำรวจสกลซึ่งมีภรรยานั่งโดยสารไปด้วย ขับมุ่งหน้าเพื่อที่จะทะลุออกไปไปยังเส้นระเบาะไผ่ คาดว่ากำลังจะพาภรรยากลับบ้านพัก แต่ระหว่างทางไปถูกคนร้ายดักนัดเคลียร์ใจก่อน ,, ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดหลายมุม จับภาพรถกระบะซึ่งวิ่งผ่านบนถนน มุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุ แต่เป็นการขับรถไปพร้อมกับกลุ่มรถชาวบ้านในพื้นที่ที่ใช้ถนนร่วมกัน ซึ่งไม่ใช่รถของกลุ่มคนร้ายที่ขับประกบหรือขับตาม
ในช่วงบ่ายวันนี้ (13 พ.ค.67) ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ผู้ต้องหา คือนายชัยวิชิต (ต่าย) อายุ 43 ปี (พ่อ) และน.สธัญญารัตน์ (แม่) ของนายพิชิตพงศ์ อายุ 23 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน จับกุมได้ในพื้นที่ จ.นครนายก และจะนำตัวมาแถลงข่าวที่ สภ.ระเบาะไผ่ โดยรักษาการอธิบดีกรมตำรวจจะเป็นผู้แถลงข่าวด้วยตนเอง ต่อมาได้แจ้งว่าต้องยกเลิกเนื่องจากฝนตกหนักเฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถบินได้ ขอเลื่อนไปเป็นวันพรุ่งนี้ช่วงบ่าย
ต่อมา พล.ต.ต.ภูมินทร์ สิงหสุต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี ได้เดินทางมาที่ สภ.ระเบาะ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นไม่น่าใช่กระบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ก็น่าจะเป็นที่ตำรวจเรามาพบเจอว่ามีการถ่ายน้ำมันกันกลางถนน ก็เลยลงไปตรวจสอบว่าทำอะไร คนร้ายมากันเยอะ แต่ตำรวจมาคนเดียว ก็เลยทำให้คนร้ายไม่ยอมให้ตรวจสอบ ก็เลยมีเหตุการณ์ซึ่งหน้า ส่วนการที่คนร้ายอาจรู้จักกับดาบโก้หรือไม่ต้องทำการตรวจสอบอีกที แต่ก็มีมูลเหตุว่ามีโอกาสเป็นไปได้ เขาไม่ได้แจ้งประสานขอกำลังถ้าแจ้งคงไม่มีเหตุเกิดแบบนี้ ทำไมคนร้ายต้องทำร้ายภรรยาด้วยก็น่าจะทำลายพยานหลักฐาน ตอนนี้ก็จับกุมคนร้ายได้แล้ว ตอนนี้ทางตำรวจระเบาะไผ่ สืบจังหวัด สืบภาคหลังจากที่พบศพก็มีการบูรณาการร่วมกัน จนทราบว่าคนร้ายเป็นใครและทราบตัวหมดแล้ว วันนี้ก็เป็นการมอบตัวและจับกุมพร้อมกันทั้งสองอย่าง จับได้ที่จังหวัดนครนายก เบื้องต้นก็ 3-4 คน เบื้องต้นก็ยังไม่ถึงขนาดเชื่อมโยงกับกระบวนการค้าน้ำมันเถื่อน
จากการตรวจค้นที่บ้านก็พบอาวุธปืนอาก้าและปืนยาว เบื้องต้นเป็นคนในพื้นที่ชอบเล่นปืน มีทั้งปืนยาว ปืนสั้น หลายกระบอก ช่วงเกิดเหตุดาบโก้และกลุ่มผู้ต้องหามีการพูดคุยกันหรือไม่ก็ไม่ทราบก็อย่างที่บอกตำรวจเรามีน้อย อาจมีการลงมือกันบ้าง คงไม่ใช่กระบวนการของผู้มีอิทธิพล คงเป็นการทะเลาะกันในที่เกิดเหตุมากกว่า เบื้องต้นเป็นการลักลอบถ่ายน้ำมันจากรถบรรทุกน้ำมันใส่ปิคอัพ เอาไปขาย ซึ่งการกระหน่ำยิงต้องทำการสืบสวนมากกว่านั้นต้องรอรายละเอียด ทรัพย์สินของผู้ตายก็มี อาวุธปืน 2 กระบอก โทรศัพท์ทั้งผู้ตายและภรรยา ก็ตามได้แล้ว
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางสาวมะขิ่น (นามสมมติ) พยาน ในฐานะเด็กสายตำรวจ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวเชิงลับกับทางช่องแปดว่าสำหรับชนวนเหตุที่ดาบโก้หรือดาบตำรวจสกลและภรรยาถูกยิง เป็นเพราะก่อนเกิดเหตุ ช่วงประมาณวันที่ 8-9 พ.ค. ช่วงเช้า มีเพื่อนตำรวจในชุดสืบสวนนายหนึ่ง ได้มีการไปจับกุมลูกน้องของผู้กระทำผิดกฎหมาย ลักลอบขายน้ำมันเถื่อน 2 คน หลังจากมีการจับกุมตัวได้แล้วได้มีมีการโทรเรียกดาบตำรวจสกลไปพบ เพื่อที่จะดำเนินการจับกุมและขยายผล
ซึ่งหลังจากที่มีการจับลูกน้อง 2 คน ของกลุ่มขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ ปรากฏว่า นาย ต. ได้พยามติดต่อเข้ามาเพื่อที่จะเคลียร์กับชุดสืบสวนที่มีการจับกุม พร้อมทั้งดาบโก้ แต่เข้าใจว่าไม่เป็นผล เพราะเนื่องจากทำทุกอย่างตรงไปตรงมาตามกระบวนการของกฎหมาย และว่าไปตามกระบวนการของการกระทำผิด จึงทำให้มีการพยามติดต่อนัดเคลียร์กับทางดาบโก้ อีกหลายครั้งเรื่อยมา
สำหรับวงการของการค้าน้ำมันเถื่อน ส่วนใหญ่จะเป็นการลักลอบเอาน้ำมันจากรถบรรทุก ซึ่งขับรถขนส่งและผ่านเข้ามาในพื้นที่อำเภอศรีมหาโพธิ์ ผ่านเข้ามาแถวกรอกสมบูรณ์ ก็จะมีการนำ จากรถบรรทุกที่เถ้าแก่เติมให้มาแอบขายให้กับขบวนการดังกล่าว โดยเรียกว่า ขาย “ลูกหมู” ขายครั้งหนึ่งประมาณ 20 ลิตร ลิตรละ 33 บาทโดยประมาณ ก็จะได้เงินอยู่ที่ประมาณ 600 กว่าบาท แล้วขบวนการที่การซื้อน้ำมันจาก กลุ่มรถบรรทุก ก็จะนำไปส่งขายให้กับยี่ปั๊ว หรือแม้แต่แบ่งขายแบบปลีก ให้กับปั๊มเล็ก หรือพวกที่ซื้อน้ำมันแบ่งขวดขาย ฉะนั้นจึงเป็นขบวนการในพื้นที่ และตัวของชุดจับกุมได้ไปแสดงตัวจับกุม จนเป็นเหตุทำให้นายใหญ่ คือ นาย ต. พยามเข้ามาเคลียร์ แต่เคลียร์ไม่เป็นผลจึงทำให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวช่องแปด เดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งพบว่า อยู่ซอยฝั่งตรงข้ามจุดพบศพ โดยบ้านหลังดังกล่าวเป็นลักษณะทำเป็นที่พักคนงาน และมีโครงหลังคา ทำเป็นที่บังแดดฝน ซึ่งสังเกตว่า บริเวณแคมป์คนงานดังกล่าว มีถังสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่หลายใบ วางเรียงกันอยู่ และยังมีลักษณะคล้ายกับ หัวปั๊ม และรวมถึงหัวจ่ายน้ำมันเก่าเขียนกำกับว่าดีเซล และสังเกตว่าถังบางใบมีลักษณะคล้ายน้ำมันบรรจุอยู่
ทีมข่าว จึงได้มีการตะโกนถาม ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งชื่อนายโก้ (นามสมมติ) เดินออกมาจากบ้านหลังดังกล่าว พร้อมกับบอกกับทีมข่าวว่าเป็นเขย ซึ่งเข้ามาดูแลและเฝ้าให้กับเจ้าของ โดยเจ้าของคือนาย ต.
ด้าน นายโก้ เผยว่า ตนเองรู้จักกับนาย ต. พอจากตนเองเป็นเขย แต่ในวันเกิดเหตุ ตนเองไม่ได้อยู่บ้านพัก เพราะเนื่องจากไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลและเพิ่งกลับออกมาได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น สำหรับถังน้ำมัน เป็นถังเก่าที่เลิกใช้งานไปแล้ว เนื่องจากปัจจุบันใช้เป็นถังสำหรับบรรจุน้ำ รดในไร่เกษตร ไม่ได้มีการบรรจุน้ำมันเหมือนเมื่อก่อน เป็นเพียงแค่อุปกรณ์เก่าที่เลิกใช้ไปแล้ว
ส่วนส่วนตัวของนาย ต. ยอมรับว่าตนเองรู้จัก เพราะเป็น แต่ปัจจุบันไปเปิดปั๊มหลอดอยู่แถวจังหวัดลพบุรี ซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และสำหรับน้ำมัน ก็มีการขายให้กับกลุ่มรถบรรทุกและรถที่เติมใช้งานขนาดเล็ก โดยขายต่ำกว่าท้องตลาด ซึ่งหากปกติราคาน้ำมันอยู่ที่ 33 บาท ก็จะขายในราคา 30 บาท
ขณะ กลุ่มรถบรรทุกที่อ้างว่า มีการเอาลูกหมูมาขาย (น้ำมัน) ยืนยันว่าไม่เคยมีรถบรรทุกเอามาขายที่นี่ และการซื้อขายส่วนใหญ่ก็ผ่านปั๊มหลอดข้างนอก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับที่แห่งนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับตำรวจและรวมถึงดาบตำรวจสกลหรือโก้ ตัวเองคุ้นชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้า และไม่แน่ใจว่ามีตำรวจเคยเข้ามาที่นี่หรือไม่ เพราะโดยปกติแล้วก็มีตำรวจเข้าออกและมาตรวจตราตามปกติ
และเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งได้มีการ นำอาวุธปืนที่มีการตรวจค้นบ้านของนายชัยวิชิต อายุ 43 ปี หลังจากมีการตรวจค้นบ้านภายในพื้นที่สระบุรี ซึ่งนำมาส่งคืนให้กับพนักงานสอบสวนหลังมีการตรวจสอบเสร็จ
และจากนั้นก็พิสูจน์หลักฐาน ได้มีการตรวจดีเอ็นเอและลายนิ้วมือเพิ่มเติมของกลุ่มที่ร่วมขบวนการที่มีการคุมตัวได้ก่อนหน้านี้ เพื่อเชื่อมโยงว่า มีความเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใดกับเหตุการณ์ยิงดับตำรวจสกลและภรรยา
ขณะเดียวกัน หลังจากที่ สภ.ระเบาะไผ่ มีการแจ้งกับผู้สื่อข่าวว่าวันนี้จะไม่มีการแถลงข่าวใหญ่ ประกอบกับอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนเพื่อเชื่อมโยงบุคคลในคดี จึงทำให้สื่อมวลชนบางส่วนเดินทางกลับ
ปรากฏว่าหลังจากที่สื่อมวลชนบางสำนักเดินทางกลับ ตำรวจชุดสืบสวนได้มีการคุมตัว นายชัยวิชิต ซึ่งเป็นมือยิงตามที่ถูกกล่าวหา และสะท้อนจากลูกชายรวมถึงพรรคพวกในกลุ่ม โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้มีการคุมตัวเข้ามาสอบปากคำภายในห้องสืบสวนของ สภ. ระเบาะไผ่ โดยเจ้าตัวมีหน้าตาเคร่งเครียดและมีบางช่วงเอาแต่ก้มหน้า , และมีบางช่วงได้มีการให้เซ็นลงชื่อในเอกสารราชการ แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นเซ็นคำให้การหรือยอมรับสารภาพอะไรหรือไม่
ต่อมาทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านนาหมอม้า ต.นาหมอม้า อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ ด.ต.สกล (ผู้เสียชีวิต) พบกับครอบครัวของดาบตำรวจซึ่งกำลังนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องดังกล่าวด้วยความโศกเศร้าเสียใจ / จากนั้นทีมข่าวได้พูดคุยกับนายบุญเลิศ อายุ 78 ปี ซึ่งเป็นพ่อของดาบสกล (ผู้เสียชีวิต) เล่าว่า ลูกชายของตนนั้นเป็นคนนิสัยเรียบร้อย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่เคยรังแกใคร ซึ่งลูกชายตนนั้นทำงานเป็นตำรวจมาตั้งแต่ปี 2547 ครั้งแรกก็ไปเป็นตำรวจอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส 9 ปี แล้วก็ย้ายมาอยู่ที่ สภ.ระเบาะไผ่ จ.ปราจีนบุรี จากนั้นก็ย้ายกลับมาบ้านเกิดที่จังหวัดอำนาจเจริญ ที่ผ่านมาตนเป็นห่วงลูกชายเสมอ เวลาไปไหนมาไหนก็คอยบอกดาบสกลอยู่เสมอว่า “ลูกเอ๊ย ระวังตัวนะ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ” แต่ที่ผ่านมาลูกชายตนก็เป็นคนสนุกสนาน ไม่เคยมีความขัดแย้งกับใคร ส่วนภรรยาคนนี้ก็เพิ่งจะคบกันมาได้ประมาณ 1 ปีเศษ ทั้งคู่ก็ดูรักใคร่กันดีจนตอนนี้ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกด้วยกัน 1 คน ซึ่งก่อนที่ดาบสกลจะเดินทางออกจากบ้านไป ดาบสกลก็ได้บอกว่าจะไปหาเจ้านายที่จังหวัดปราจีนบุรีเหมือนกับว่าเจ้านายเรียกให้ไปช่วยงาน ซึ่งก็ไม่ได้มีการพูดลางบอกเหตุอะไร
โดยเมื่อวานนี้ประมาณ 1 ทุ่ม ได้มีชาวบ้านไปตามตนที่ทุ่งนาและบอกให้กลับบ้าน พอกลับบ้านมาก็ถึงทราบว่าลูกชายและลูกสะใภ้ถูกยิงเสียชีวิต ตนได้ยินดังนั้นก็เป็นลมจนต้องหามส่งโรงพยาบาลกลางดึก ตอนนี้ตนอยากให้จับคนร้ายให้ได้เร็ว ๆ เพราะรู้สึกว่ามันอุกอาจเกินไป ขนาดผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์และจะคลอดในอีก 2-3 เดือน คนร้ายมันยังทำได้ลงคอ ทำไมมันถึงโหดได้ขนาดนี้ อยากถามเหลือเกินว่า “จิตใจของพวกแกมันทำด้วยอะไร ทำไมถึงได้โหดทมิฬแบบนี้ ทำไมไม่มีความสงสารกันเลย ไม่คิดบ้างเลยเหรอว่าเขามีพ่อมีแม่ ไม่นึกถึงใจพ่อแม่เขาเลยเหรอว่าจะเป็นยังไงที่ทำกับลูกเขาขนาดนี้”
จากนั้นลูกสาวคนโตอย่างน้องวิว อายุ 12 ปี และลูกชายอย่างน้องภูมิ อายุ 10 ขวบ ซึ่งเป็นลูกติดของดาบสกลก็ได้นำรูปภาพของดาบสกลมาให้ทีมข่าวดู ซึ่งเป็นรูปที่ดาบสกลนั้นได้แต่งเครื่องแบบตำรวจ