หลวงพี่น้ำฝน ตำรวจพระภาค 14 จับสึกรอบ 2 หลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม แอบห่มจีวร อุ้มบาตรตระเวนรับปัจจัยและอาหารในจังหวัดนครปฐม

หลวงพี่น้ำฝน ตำรวจพระภาค 14 เปิดปฏิบัติการล่าสงฆ์ทิพย์ (พระปลอม) รับอรุณ โดยโคจรกลับมาพบกับอดีตหลวงตาเวิร์ค ฟอร์ม โฮม ที่เพิ่งจู่โจมบุกไป เชิญไปสึกเมื่อ 5 วันก่อน แอบไปสวมจีวรอุ้มบาตรตะเวนรับปัจจัยและอาหารยามเช้าในตลาดดัง ติดกับสถานีขนส่งจังหวัดนครปฐม ขณะเจ้าตัวหน้าถอดสีเมื่อเจอกันกับหลวงพี่น้ำฝนเตรียมพุ่งขึ้นรถหวังขับหนี แต่ถูกล็อกตัวไว้ได้ รอบนี้ส่งตัวดำเนินคดี 2 ข้อหา ทั้งปลอมแปลงเอกสารราชการ และแต่งกายเลียนแบบพระ

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ประธานคณะทำงานดำเนินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 (พระวินยาธิการ) ได้ออกตรวจสอบความเรียบร้อยของพระภิกษุสงฆ์ในการออกบิณฑบาตช่วงเช้า ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองนครปฐม หลังจากเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้เข้าตรวจสอบกรณีประชาชนร้องเรียนมีพระภิกษุสงฆ์ไม่จำพรรษาที่วัด และมีบางรายอาศัยอาศัยอยู่ในบ้านกลางเมืองนครปฐม เป็นลักษณะเหมือนการปฏิบัติกิจแบบเวิร์คฟอร์มโฮม นำไปสู่ กระบวนการจับสึกซึ่งเป็นข่าวที่ประชาชนให้ความสนใจถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระภิกษุสงฆ์ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ

ต่อมา ได้มีประชาชนส่งข้อมูลว่า มีพระภิกษุสงฆ์สูงวัย ลักษณะพฤติกรรมคล้ายกับหลวงตาอายุ 70 ปีที่ไม่ยอมกลับไปจำพรรษาในวัด แต่กลับมาอาศัยอยู่ในบ้านพักกลางเมืองนครปฐม ออกบิณฑบาตอยู่ในบริเวณดังกล่าว จึงได้มีการติดตามดูพฤติกรรม กระทั่งพบรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีบรอนซ์ทอง เป็นลักษณะเดียวกับรถของหลวงตารูปดังกล่าวที่ถูกจับสึกไปเมื่อเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จอดอยู่ที่ริมถนนภายในสถานีขนส่งจังหวัดนครปฐม ซึ่งคณะทำงานได้มีการออกตรวจ กระทั่งพบพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งมีลักษณะคล้ายกัน ได้ออกบิณฑบาตเดินอยู่ในพื้นที่ตลาด และมีการหยุดแช่เพื่อรอญาติโยมขาประจำที่จะมาใส่บาตรในเวลาดังกล่าว

หลวงพี่น้ำฝนได้เฝ้ารอ ตรวจสอบอยู่ที่บริเวณรถต้องสงสัยคันดังกล่าว กระทั่งเวลาประมาณ 06.40 น. พระภิกษุสงฆ์ รูปดังกล่าวได้เดินกลับมาที่รถหลวงพี่น้ำฝนจึงได้เข้าไปแสดงตัวและขอตรวจสอบเอกสาร โดยทำให้พระรูปดังกล่าวเกิดอาการตกใจและยอมจำนนนั่งอยู่ที่ข้างรถ ดังนั้นหลวงพี่น้ำฝนได้ยืนยันกับคณะทำงานว่าเป็นพระรูปเดียวกันกับที่มีการร้องเรียนซ้ำเข้ามา และเป็นคนเดียวกับพี่มีการสึกไปแล้วก่อนหน้า แต่ได้กลับมาบวชและสวมเครื่องแต่งกายเป็นพระภิกษุอีกครั้ง จากนั้นได้มีการสอบถามว่า ได้มีการกลับไปบวชครั้งหรือไม่ และได้รับคำตอบว่าไม่ได้กลับไปบวช แต่เป็นการนำจีวรกลับมาสวมและออกบิณฑบาตตามปกติ โดยคิดว่าเป็นความผิดเล็กน้อย

ต่อมา มีการควบคุมตัวเพื่อรอประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮมได้พยายามพุ่งหนีออกจากเก้าอี้ และพยายามจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถเพื่อจะพยายามหลบหนีแต่ติดที่ตัวหลวงพี่น้ำฝนและลูกศิษย์ที่สามารถจับล็อกตัวได้ทัน ก่อนให้นั่งสงบสติอารมณ์เพื่อรอการประสานงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองนครปฐม มารับตัวเพื่อนำไปตรวจสอบเอกสารต่างๆ อีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ได้มีพ่อค้าแม่ค้าที่ได้ใส่บาตรกับหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮมไปเพียงไม่กี่นาทีซึ่งเห็นเหตุการณ์ จึงได้เดินมาดูและแจ้งว่าเพิ่งใส่มะนาวไปหนึ่งถุงและมาพบว่ามีการจับกุมเนื่องจากเป็นพระปลอม ทั้งยังเป็นคนที่ปรากฏเป็นข่าว จึงได้บอกว่าเสียความรู้สึก และบอกว่านี่คือพระที่เป็นข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน

แต่เมื่อไปถึงวัดไผ่ล้อม ปรากฏว่า ยังมีการพกหนังสือสูจิบัตรเล่มเดิมที่มีการปลอมแปลงเอกสารไปแล้วครั้งแรก โดยมีการเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่จำวัดเป็นสำนักสงฆ์ในจังหวัดกาญจนบุรี แต่เป็นลายมือตัวเอง และลงนามว่าเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งหลวงพี่น้ำฝนได้ยืนยันว่า นี่คือการกระทำความผิดซ้ำเช่นเดิมจึงได้นิมนต์เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม ตัวแทนเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ให้เข้ามาตรวจสอบเอกสารทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งก็ยังสารภาพว่ายังไม่ได้มีการกลับไปบวชแต่มีการกลับมาแต่งกายจริงและออกบิณฑบาตตามปกติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวเพื่อไปสอบสวนข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง

หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า หลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม มีการรวบรวมข้อมูลว่ามีการถูกจับกุมและถูกจับสึกมาแล้วไม่น้อยกว่า 2-3 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้หยุดพฤติกรรมและยังคงกลับมาแต่งกา ด้วยการสวมจีวรเป็นพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเข้ามาตราในกฎหมายอาญา ทั้งการปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และการแต่งกายให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นพระสงฆ์ เมื่อหลวงตาไม่สนใจการปกครองแบบคณะสงฆ์ซึ่งได้มีมติให้ลาสิกขาออกไปแล้ว จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีทางกฎหมายอาญา โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐมเป็นตัวแทนในการไปลงบันทึกประจำวันและแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป

นายศุภภัทรพจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีนี้เข้าอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 บัญญัติว่า "ผู้ใด แต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดง เป็นพระภิกษุสามเณร นักพจน์หรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคล เช่นว่านั้น ต้องระหว่างโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำ " ส่วนข้อหาปลอมเอกสารหรือใช้เอกสารปลอม จำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 60,000 บาท นี่หมายถึง 1 กรรม แต่ถ้ามากว่า 1 กรรม ก็เรียงกระทงกันลงโทษ