จากเหตุการณ์ นายเรวัต วัย 42 ปี ใช้กลอุบายล่อลวงเด็กหญิงวัย 11 ขวบ กระทำอนาจารในรถกระบะ พื้นที่หมู่ 13 ต.บางมะพร้าว อ.หลังสวน จ.ชุมพร พ่อเด็กรู้ภายหลังพาแจ้งความ ก่อนให้ลูกสาวนัดล่อเจอหวังจับตัวส่งตำรวจ แต่คู่กรณีขัดขืนต่อสู้กันจนเลือดอาบ พร้อมมัดมือเท้าหวังส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดี แต่ตำรวจเพิ่งรับแจ้ง ยังทำอะไรไม่ได้ รอสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม พร้อมส่งตัวเด็กหญิงตรวจร่างกายอยู่ในระหว่างรอผลตรวจจากแพทย์

เรื่องนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้ไปติดตามเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน โดยได้พูดคุยกับพ่อของเด็ก 11 ขวบ และพี่สาวเด็กเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมด



โดยหลังจากผ่านมานานกว่า 1 สัปดาห์ พ่อแจ้งว่าคดีความไม่คืบ คนร้ายยังใช้ชีวิตปกติอยู่ข้างนอก ส่วนตัวพ่อและญาติกลับถูกแจ้ง 3 ข้อหา

นายณัฐวุฒิ อายุ 30 ปี พ่อเด็ก 11 ขวบ เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า หลังจากที่ช่อง 8 ได้มาสัมภาษณ์ตนตอนเกิดเรื่องนั้น ตอนนี้ตนและอาอีก 2 คน โดนแจ้งข้อหา 3 ข้อหาที่ไปตีนายเรวัต ผู้ก่อเหตุ เพื่อจะจับส่งตำรวจ โดยตนโดนข้อหาคือ

1. ร่วมกันทำร้ายคนอื่นโดยเจตนา
2. ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่น
3. ร่วมกันทำลายทรัพย์สินผู้อื่น

เจ้าหน้าที่ได้โทรมาให้ตนเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากนี้ก็จะต้องรอดูต่อไป ว่าตำรวจจะให้ตนทำอย่างไรบ้าง ส่วนนายเรวัตนั้นตนไม่ทราบว่าทางตำรวจมีการแจ้งข้อกล่าวหาเขาหรือไม่ แต่จากที่ตนสอบถามร้อยเวร เขาแจ้งเพียงว่านายเรวัตผู้ก่อเหตุนั้นได้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว และตอนนี้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน ตนก็พยายามจะเข้าใจว่ากระบวนการยุติธรรมอาจจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบดำเนินการต่าง ๆ แต่ตนก็อยากให้ทำเร็วกว่านี้

ส่วนทางป้าของเด็กซึ่งเป็นคนพาลูกตนไปเรื่องนั้น ตนได้มีการพูดคุยกับเขาแล้ว โดยเขามีความรู้สึกผิดกับทุกอย่าง และตอนนี้ก็กำลังเครียดมาก ส่วนสาเหตุที่ตอนแรกป้าไม่ได้บอกตนนั้นเ พราะเกรงว่าตนจะตีเขา เนื่องจากตนเป็นคนอารมณ์ร้อน และตัวป้าเข้าใจว่าลูกตนเพียงถูกมัดเท่านั้น ไม่ได้มีการถูกทำอนาจาร เนื่องจากลูกตนนั้นไม่ได้บอก จากที่ตนคุยกับป้าเขาบอกประมาณนี้



ตนก็อยากจะฝากถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยากให้ช่วยเร่งรีบให้ไวกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม ตนก็เข้าใจว่าทุกอย่างมีกระบวนการของมัน ในเรื่องที่ตนไปทำร้ายเขานั้น ตนก็ยอมรับผิดพร้อมถูกดำเนินคดี ด้านสภาพจิตใจของลูกสาวตน เริ่มดีขึ้นแล้วกลับมาพูดจาได้เกือบจะปกติทุกอย่าง แต่บางครั้งก็ยังมีความหวาดระแวงอยู่บ้าง หลังจากนี้ตนจะต้องพาลูกสาวไปให้ปากคำ กับอัยการและทีมจิตแพทย์

ด้าน พ.ต.อ.สุริยนต์ ชมมี ผกก.สภ.ปากน้ำหลังสวน เปิดเผยกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า เริ่มต้นทางด้านพ่อเด็กและญาติ ๆ ได้พาเด็ก 11 ขวบ มาแจ้งความอนาจาร ในวันที่ 21 มกราคม 2567 โดยร้อยเวรฯ ก็ได้มีการซักไซร้ไล่เรียงว่ารู้ตัว รู้ชื่อผู้ก่อเหตุหรือไม่ ทางผู้เสียหายยืนยันว่าไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขามาได้คลิปเสียงที่คุยกับคนในไลน์มา ซึ่งคลิปเสียงนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็จะต้องตรวจสอบว่าเป็นเสียงของใครอย่างไร ทางเจ้าหน้าที่ก็รับคลิปเสียงนี้ไว้ และจะต้องเอาไปตรวจสอบก่อน

โดยระหว่างที่สอบปากคำต่าง ๆ ทางนายเรวัต ผู้ก่อเหตุได้ไลน์มาที่โทรศัพท์ของป้าเด็ก ซึ่งโทรศัพท์อยู่กับพ่อเด็ก โดยนายเรวัตได้ส่งไลน์มาบอกว่า มาซื้อโทรศัพท์ให้เด็กแล้ว ร้านแถวตลาดเขาปีบ อ.ทุ่งตะโก เจ้าหน้าที่ร้อยเวรฯ จึงได้พาอาของเด็กออกเดินทางไปที่ร้านโทรศัพท์เพื่อที่จะไปหาตัวนายเรวัต หรือหากอย่างน้อยไปไม่ทันเขาออกไปก่อนแล้ว ก็สามารถเช็กกับร้านขายโทรศัพท์ได้ว่าคนที่มาซื้อชื่ออะไร เป็นใคร เพราะจะต้องมีการแนบบัตรประชาชนในการซื้อ โดยทางร้อยเวรฯ ได้ออกไปพร้อมอาในเวลาประมาณ 15.30 น.

ซึ่งระยะห่างจาก สภ.ปากน้ำหลังสวน ถึงร้านขายโทรศัพท์นั้นประมาณ 38 กิโลเมตร โดยทางร้อยเวรฯ ไปถึงประมาณ 16.00 น. และได้พยายามหาว่านายเรวัตไปซื้อโทรศัพท์ร้านไหนแต่ยังหาไม่เจอ พ่อของเด็กก็ได้โทรศัพท์เข้ามาที่อา และบอกว่าเจอตัวนายเรวัตแล้วอยู่ที่ริมชายหาด ให้พาร้อยเวรฯ มาที่นี่โดยด่วน ทางร้อยเวรฯ จึงได้รีบไปที่ริมชายหาด โดยระยะทางจากร้านโทรศัพท์ไปที่ชายหาดนั้นประมาณ 45 กิโลเมตร

ขณะที่ร้อยเวรฯ กำลังเดินทางไปยังชายหาด ทางสายตรวจของ สภ.ปากน้ำหลังสวน ก็ได้รับแจ้งว่ามีเหตุทำร้ายร่างกาย เมื่อสายตรวจไปถึงก็พบว่านายเรวัตกำลังนั่งให้กู้ภัยทำแผลอยู่ แต่ผู้ที่กระทำนายเรวัตนั้นได้หลบหนีไปแล้ว หลังจากทำแผลเบื้องต้นเสร็จก็ได้มีการส่งนายเรวัตไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลปากน้ำหลังสวนอีกครั้ง

ต่อมาร้อยเวรฯ มาถึงยังพื้นที่ริมชายหาดจุดเกิดเหตุ ก็ไม่พบตัวนายเรวัตแล้ว มีเพียงกองเลือดอยู่เท่านั้น จึงได้ตามไปที่โรงพยาบาล และมีการสอบถามกับนายเรวัตว่าใครเป็นคนทำ แต่ตอนนั้นนายเรวัตแจ้งว่าไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ทางร้อยเวรฯ จึงได้ให้นายเรวัตรักษาตัวก่อนจะนัดเข้ามาที่ สภ.ปากน้ำหลังสวน อีกครั้ง หลังจากที่ทำแผลเสร็จวันนั้น นายเรวัตก็ได้มีการเข้ามาแจ้งความทำร้ายร่างกายกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่จะมีการสืบสวนไปจนมาทราบภายหลังว่า บุคคลที่ทำร้ายนายเรวัตนั้น ก็คือพ่อของเด็ก 11 ขวบ



โดยหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีการรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อที่จะดำเนินการแจ้งข้อหากับนายเรวัตในส่วนของคดีอนาจารเด็ก แต่ต่อมาในวันที่ 27 มกราคม นายเรวัตได้เดินทางเข้ามามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยอมรับว่าได้กระทำอนาจารเด็กจริง ทางเจ้าหน้าที่จึงมีการแจ้งข้อหาทั้งหมด 3 ข้อหา คือ

1. กระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี
2. กักขังหน่วงเหนี่ยวเด็ก
3. พรากผู้เยาว์เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี

โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการพิจารณาว่า นายเรวัตนั้นได้มามอบตัวตัวเอง โดยที่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา หรือมีการออกหมายจับ รวมถึงนายเรวัตไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนีหรือว่าข่มขู่ผู้เสียหาย และทางนายเรวัตมีอาการบาดเจ็บ เนื่องจากถูกทางครอบครัวผู้เสียหายทำร้าย จึงคิดว่านายเรวัตไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี จึงพิจารณาให้ปล่อยตัวกลับบ้านไป โดยหลังจากนี้จะมีการเรียกตัวนายเรวัตมาสอบปากคำอีกครั้ง หลังจากที่สอบปากคำเด็กอายุ 11 ขวบเสร็จ ก่อนที่จะส่งฟ้องศาลต่อไป

ซึ่งตนจะต้องขอบอกแบบนี้ว่า ไม่ใช่ว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมไปตามที่ผู้เสียหายเรียก ซึ่งทางผู้เสียหายไม่ได้มีการนัดแนะกับตำรวจมาก่อน ว่าจะมีการล่อลวงให้นายเรวัตออกมาเพื่อให้ตำรวจจับ และอีกอย่างคือทางผู้เสียหายเพิ่งแจ้งความในเวลา 15.00 น. และไปทำร้ายนายเรวัตในเวลา 16.00 น. ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังไม่มีพยานหลักฐาน หรือแม้แต่รู้ชื่อนายเรวัตด้วยซ้ำ จึงยังไม่สามารถจับตัวนายเรวัตได้ ทางพ่อของน้อง อายุ 11 ขวบ ก็ได้มีการไปทำร้ายนายนายเรวัตก่อน ซึ่งเขาได้มีการล่อลวงนายเรวัตให้ออกมา

ต่อมาในวันที่ 28 มกราคม ทางด้านพ่อของน้องอายุ 11 ขวบ ก็ได้มีการเดินทางเข้ามามอบตัวกับตำรวจในข้อหาทำร้ายร่างกายนายเรวัต โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีหน้าที่ที่จะจะต้องแจ้งข้อหา เพราะเขากระทำความผิดจริงในการทำร้ายผู้อื่น จึงได้แจ้งข้อหาจำนวน 3 ข้อหาคือ

1. ร่วมกันทำร้ายคนอื่นโดยเจตนา
2. ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่น
3. ร่วมกันทำลายทรัพย์สินผู้อื่น

ส่วนในข่าวที่มีการเผยแพร่ไปว่า ตนรับใต้โต๊ะจากนายเรวัตหรือไม่ ตนขอยืนยันว่าตนไม่เคยรับใต้โต๊ะจากใคร ตนทำงานมา 20 กว่าปี ตนทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและทำงานอย่างตรงไปตรงมา หากใครมีหลักฐานว่าตนทำความผิดจริง สามารถมาแจ้งเอาผิดตนได้เลย

และอีกเรื่องที่มีกระแสข่าวออกไปว่า รองผู้กำกับของตนไปคุยกับทางฝั่งของครอบครัวผู้เสียหายให้ยอมรับเงินและจบแต่โดยดี จากการตรวจสอบแล้วตนยืนยันว่า รองผู้กำกับไม่เคยพูดแบบนั้น โดยทางรองผู้กำกับได้มีการเข้าไปพบกับทางครอบครัวผู้เสียหายที่บ้านเพียงหนึ่งครั้ง ซึ่งไปพร้อมกับนายอำเภอ พม. นักจิตวิทยา บ้านพักเด็ก ซึ่งไม่ได้มีการคุยกับทางพ่อของเด็กใด ๆ เลย มีเพียงการไปเยี่ยมเยียนสภาพจิตใจของเด็กเท่านั้น

ตนต้องขอบอกตรงๆ ว่า ตนรู้สึกน้อยใจที่ถูกต่อว่า เพราะตนทำคดีอย่างเต็มที่ และทำตามกฏหมายทุกขั้นตอน หากท่านใดรู้สึกไม่พอใจกับการทำงานของตน และเชื่อว่าตนทำไม่ถูกสามารถด่าตนได้ แต่ตนขอร้องว่าอย่าด่าถึงครอบครัวของตน ตนให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน

ต่อมาทีมข่าวได้เข้าไปยังบ้านของนายเรวัต โดยบ้านของนายเรวัตอยู่บนเขา เส้นทางขึ้นค่อนข้างสูงชันและลำบาก ทีมข่าวได้ขับมาจนเกือบถึงทางเข้าบ้าน แต่ทางภรรยาของนายเรวัตได้ขี่รถจักรยานยนต์ลงมาหาทีมข่าว และไม่อนุญาตให้ทีมข่าวขึ้นไป



นางจอย (นามสมมติ) ภรรยาของนายเรวัต ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ตนเองทราบเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว โดยวันที่เกิดเหตุนายเรวัตถูกทำร้ายนั้น ตนเองก็ได้มีการตามไปที่โรงพยาบาลและเข้าไปที่ สภ.ปากน้ำหลังสวน โดยเมื่อตนไปถึง สภ. ก็พบทางฝั่งญาติของผู้เสียหาย ทางญาติเขาได้เดินเข้ามาชี้หน้าตนพร้อมกับถามว่าตนเป็นใคร ตนจึงได้บอกว่าตนเป็นภรรยาของนายเรวัต จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติของทางฝั่งผู้เสียหายเข้ามาตบหน้าตน พร้อมกับถามตนว่า ไม่รู้เหรอว่าผัวตัวเองเลว

ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะตนไม่รู้เรื่องด้วย ตนจึงได้บอกทางฝั่งนั้นว่า ตนไม่ทราบเรื่องและไม่ได้จะเข้าข้างสามีตนเองแต่อย่างใด หากตนรู้ว่าผัวเลวตนจะเอามาทำผัวทำไม

ตนเองนั้นยังมีการพูดคุยกับสามีว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร แต่จากที่เขาให้ปากคำกับตำรวจนั้น เค้าก็ยอมรับว่าเขาได้ทำจริง ๆ ตนก็รู้สึกเสียใจเพราะตนก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ตนก็ไม่คิดว่าเค้าจะสารเลวขนาดนี้ หากตนรู้แต่แรกตนก็คงไม่เอามาทำสามี

ตอนนี้ตนกับนายเรวัตได้แยกกันอยู่แล้ว โดยได้อยู่บ้านพักกันคนละหลัง และไม่ได้มีการพูดคุยใด ๆ นายเรวัตก็ไม่ได้มีการมาเล่าให้ตนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และตนก็ไม่ได้อยากจะถามแล้วเพราะตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก

ตนก็อยากจะบอกว่า ทางตนเองและครอบครัวคนอื่น ๆ ไม่ได้มีใครรู้เห็นกับการกระทำของนายเรวัต และยืนยันว่าจะให้ทุกอย่างดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการช่วยเหลือใด ๆ ซึ่งตัวของนายเรวัตนั้นก็ได้มีการยอมรับผิดและมอบตัว ตำรวจก็มีการแจ้งข้อกล่าวหาต่าง ๆ และเขาก็ไม่ได้มีการหลบหนีไปไหน

อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจในส่วนของครอบครัวผู้เสียหายที่รู้สึกเสียใจ แต่อยากวอนให้เข้าใจว่าตนไม่ได้ทราบเรื่องด้วย อย่าทำร้ายตนเลย

พ่อช้ำใจลูกถูกย่ำยี ล่าคนร้ายเองดันโดนจับ ตำรวจแจงผิดที่ซ้อม บอกปมปล่อยตัวคนผิด