เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 8 ได้สืบทราบว่ามีนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอมะนัง เป็นอีกหนึ่งกุญแจที่จะไขข้อเท็จจริงว่ารถยนต์คันดังกล่าวไปขอความช่วยเหลือหรือไม่ จึงมีการติดตามหาตัวนายภาณุ เพ็ชรประดับ (นายกก้อย) นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปาล์มพัฒนา เป็นขณะเดียวกันที่ทางนายกก้อยเดินทางไปที่สนามวัวชนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และถูกเชิญตัวเพื่อให้ปากคำยังสภ.ทุ่งสง และต่อที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะปล่อยตัวกลับ
ซึ่งทางผู้สื่อข่าวได้เดินสอบถามข้อเท็จจริงต่อนายภาณุ เพ็ชรประดับ หรือนายกก้อย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปาล์มพัฒนา ยืนยันว่า ทางชุดกองปราบได้เชิญตัวไปสอบถามประเด็นว่าได้ติดต่อกับ นายแป้ง หรือเสี่ยแป้งหรือไม่ ซึ่งตนได้ยืนยันในคำตอบว่าไม่เคยได้พูดคุยกันหลังถูกจับกุม โดยก่อนหน้าเสี่ยแป้ง เคยมาให้กำลังใจตนในช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา และยอมรับว่าจริงมีลูกน้องของเสี่ยแป้งเดินทางมาหาตนด้วยรถยนต์กระบะมิตซูบิชิ สีขาวตามที่เป็นข่าวเมื่อเช้าวันที่ 22 ตุลาคม 2566 โดยเดินทางมากับลูกและเมีย โดยบอกว่าเสี่ยแป้งได้ฝากไว้ว่าหากเดือดร้อนให้มาหานายกก้อย โดยมาของานทำ ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่ได้สอบถามอะไรมากและให้ลูกน้องพาไปพักผ่อนโดยเปิด มะนังรีสอร์ทให้นอนโดยไม่ได้รู้ว่าเป็นบุคคลที่ทางการต้องการตัวและไม่เห็นข่าว
นายกก้อย เล่าต่อว่า เช้าของวันที่ 23 ตุลาคม ตนมาเห็นข่าวว่าบุคคลที่ช่วยเสี่ยแป้งหลบหนีออกจากโรงพยาบาลเป็นคนเดียวกันกับคนที่มาขอทำงานตน จึงตกใจและบอกว่าไม่อนุญาตให้อยู่กับตนและขอให้ออกจากบ้านของตน และอำเภอมะนังไป ซึ่งจะไปอยู่ที่ไหนนั้นตนไม่ทราบ และยังคงยืนยันว่าการเดินทางมาของลูกน้องเสี่ยแป้งไม่มีเสี่ยแป้งเดินทางมาด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งในวันเดียวกันเขาก็ออกจากพื้นที่มะนังไป ซึ่งตนยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะให้ที่พักพิง เพราะไม่ทราบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันที่ช่วยเสี่ยแป้งออกมา และยืนยันว่าเป็นรถคันเดียวกันตามที่เป็นข่าว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชุดเจ้าหน้าที่สืบสวนภาค 8 และภาค 9 ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่และเชื่อว่ารถยนต์ของลูกน้องเสี่ยแป้งได้ออกจากพื้นที่จังหวัดสตูลไปแล้วเช่นกัน ในขณะที่ชุดปฏิบัติการหลักประจำพื้นที่ก็ยังคงเข้มงวดสแกนพื้นที่อย่างละเอียดอีกครั้งว่าในพื้นที่ไร้ซึ่งบุคคลที่ภาครัฐกำลังต้องการตัวอยู่