จากกรณีที่คุณตาคุณยาย ซึ่งมีที่ดินนับ 100 ไร่ มูลค่านับ 500 ล้านบาท เงินสดอีกนับ 10 ล้านบาท เข้าร้องข้อความช่วยเหลือ เพราะสงสัยว่าถูกลูกสาวคนเล็กแอบเอายากล่อมประสาทให้กินมาตลอด 3 ปี เพื่อหลอกเอาสมบัติ

ล่าสุด เพจสายไหมต้องรอด พาคุณตานอ กับคุณยายแว่น ไปขอให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม นำเส้นผมไปตรวจพิสูจน์หาสารเสพติด เพื่อยืนยันตัวยาที่ลูกสาวคนเล็กให้กิน และจะได้พิสูจน์ด้วยว่าที่คุณตาบอกว่า ลูกเขยมีพฤติกรรมเสพยาบ้า ไม่แน่ใจว่ายาเม็ดที่ให้กินจนทำให้เกือบเสียสติ ใช่ยาบ้าหรือไม่ด้วย

พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ รอง ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ระบุว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์สามารถตรวจหาสารเสพติดหรือยาต่างๆ ย้อนหลังได้ 3 ปี ขึ้นอยู่กับความยาวของเส้นผม เพราะจะใช้เส้นผมในการตรวจหาสารเสพติดหรือยาที่คุณตาและคุณยายได้ทานเข้าไป

โดยปกติเส้นผมเราจะยาวเดือนละหนึ่งเซนติเมตร ปีนึงจะยาวประมาณ 12 เซนติเมตร ซึ่งการตรวจจะสามารถระบุย้อนหลังได้ตามความยาวของเส้นผม เช่น เส้นผมยาว 10 เซนติเมตร จะสามารถตรวจย้อนหลังได้ 1 ปี แต่ถ้าหากว่ายาว 30 เซนติเมตรก็สามารถตรวจย้อนหลังได้ถึง 3 ปีเลย

ผลการตรวจจะสามารถระบุได้ถึงชนิดของยา และหากเป็นสารเสพติดก็สามารถระบุได้ถึงสารเสพติดชนิดนั้นๆ ได้เลย ซึ่งการตรวจจะสามารถรู้ผลได้ภายใน 7 ถึง 10 วัน

ส่วนสีและลักษณะของเม็ดยาที่คุณตาคุณคุณยายบอกว่า ลูกสาวคนเล็กให้ทานไปนั้นไม่สามารถตอบได้ชัดว่าเป็นยากลุ่มชนิดไหน

นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้ให้คุณตานอ เขียนชื่อตัวเองลงบนกระดาษ เพื่อเปรียบเทียบลายมือของคุณตา กับลายมือที่เขียนในสลิปเบิกเงิน 8 ล้าน ว่าใช่ลายมือของตานอจริงหรือไม่

ตานอ ยังประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนเลยว่า ลูกคนนี้คือลูกทรพี หลังเป็นข่าว ลูกสาวคนเล็กก็ไม่เคยติดต่อมาเลย แล้วตั้งแต่ออกจากบ้านเพิ่งจะเคยเจอหน้ากัน และพูดคุยกันเฉพาะในชั้นศาลเท่านั้น ซึ่งลูกสาวคนเล็กก็ไม่เคยยอมรับผิดเลยว่าลักทรัพย์ของพ่อและแม่ไป อ้างแค่เพียงว่าพ่อกับแม่ลืมไปเองว่ายกทรัพย์สมบัติให้ลูกสาวคนเล็ก ยืนยันว่าไม่เคยเซ็นยกทรัพย์สินให้กับลูกสาวคนเล็กเลย และคงจะไม่เปิดโอกาสให้มาพูดคุยเพื่อปรับตัวทำความเข้าใจกันแล้ว

ทีมข่าวยังได้ข้อมูล ก่อนหน้านี้ลูกสาวคนดังกล่าวของคุณตา ได้ยื่นเรื่องขอต่ศาลให้พ่อแม่ (ตานอกับยายแว่น) เป็นบุคคลไร้ความสามารถ เพื่อให้ตนเองเป็นผู้อนุบาลและดูแลมรดกของตานอกับยายแว่น แต่ศาลได้พิจารณาแล้วยกคำร้องดังกล่าว โดยใจความสำคัญ ระบุว่า ผู้คัดค้านทั้งสองก็มีโรคประจำตัวโดยทั่วไป ซึ่งต้องดูแลรักษาไปตามอาการ ต้องพบแพทย์เป็นระยะตามนัดเท่านั้น เมื่อผู้ร้องเป็นผู้กล่าวอ้างเหตุ ผู้ร้องจึงมีภาระการพิสูจน์ แต่ไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาสืบยืนยันข้อเท็จจริงให้ปรากฏตามคำร้องขอพยานหลักฐานของผู้คัดค้านทั้งสองมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของผู้ร้องในชั้นนี้ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า นางแว่นและนายนอ ผู้คัดค้านทั้งสอง เป็นคนวิกลจริต ไร้ความสามารถ จิตฟั่นเฟือนแต่อย่างใด ส่วนปัญาไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง

ต่อมาทีมข่าวได้เอกสารฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสือสัญญาให้ที่ดิน ในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยชื่อผู้ให้ คือ นางแว่น และมีผู้รับ คือ น.ส.แหม่ม แล้ว

ขณะที่ยายแว่น บอกกับทีมข่าวว่า ยายเองก็คงไม่เอาลูกสาวคนเล็กคนนี้ไว้เหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาก็เลี้ยงดูมาอย่างดีอยากได้อะไรก็ซื้อให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งหลานอยากได้รถก็ซื้อให้ ส่งเสียเลี้ยงดูทุกอย่าง แต่ลูกสาวคนเล็กกลับไม่พอเอง ตอนนี้ไม่อยากพูดอะไรกับลูกสาวคนเล็กอีกแล้ว และฝากว่านับตั้งแต่วันนี้ต่อไปลูกสาวคนเล็กไม่ต้องมาคุยกับแม่อีกแล้ว

ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับทางทนายดำรงค์ (นามสมมติ) เป็นทนายของ น.ส.แหม่ม ซึ่งวันนี้ทนายดำรงค์ได้หอบเอกสารกองโตและภาพหลักฐานสำคัญบางส่วนมาให้ทีมข่าวช่อง 8 ได้ดูเป็นกรณีพิเศษ

คำพูดแรกของทนายดำรงค์ คือ "หนังคนละม้วน" และได้ขยายความต่อว่า กรณีที่บอกว่า น.ส.แหม่ม ให้ตานอและยายแว่นกินยากล่อมประสาท อันนี้ยอมรับว่าให้กินจริง เพราะตานอและยายแว่นมีอาการป่วยทางจิต เห็นภาพหลอน และมีอาการสมองเสื่อม ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มีหลักฐานยืนยันที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากโรงพยาบาล ซึ่งตานอและยายแว่นเริ่มมีประวัติการรักษาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2561 และมีการติดตามอาการมาเรื่อยๆ จนถึงเดือนเมษายน ปี 2566 โดยมี น.ส.แหม่ม เป็นคนดูแลจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมด ค่ารักษาตอนนี้ถ้าตีเป็นตัวเลขกลมๆ ก็เฉียดล้านบาท

 

โดยข้อความส่วนหนึ่งในใบซักประวัติคุณตานอของโรงพยาบาล ระบุว่า 3 เดือนมีภาพหลอนเห็นทุกวัน กลัวจะมีการมาทำร้าย จนกระทั่งต้องย้ายมานอนในบ้านเดียวกับลูกคนสุดท้อง กลัวคนในภาพหลอนมาทำร้าย กลัวจะทำร้ายเมียด้วย ทำให้นอนไม่ค่อยหลับละเมอ กลัวคนมาทำร้าย บางครั้งมีอาการเปิดหน้าต่าง ความกลัวนี้ไม่มีโรคประจำตัว เคยเป็นเส้นเลือดสมองตีบแต่หายแล้ว ดวงตามีต้อเนื้อไม่ได้รักษา แล้วก็มีโรคประจำตัวและสมองเสื่อม เริ่มวุ่นวายหลงลืม ไม่ยอมอยู่บ้าน ซึ่งลูกๆ ต้องคอยดูแลรักษาที่ปากช่อง มีประวัติเสียใจมากที่สุด คือลูกชายคนเดียวถูกยิงตายเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนี้กังวลเรื่องหลานชายที่เรียนที่ มข. ปี 4

มีประวัติดื่มเหล้ามาก แต่เลิกมาตั้งแต่อายุ 60+ปี

นอกจากนี้ ทนายยังบอกว่า เรื่องทั้งหมดที่ฝั่งของนางส้มลิ้มได้พูดหรือได้กล่าวอ้างออกมานั้น ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงเลย ประเด็นที่บอกว่า น.ส.แหม่ม นั้นวางยาตานอและยายแว่นนั้น ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด โดยมีคลิปวิดีโอในตอนที่ตานอกำลังรับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งในคลิป ตานอมีพฤติกรรมที่ดูหลงๆ ลืมๆ คือตานอพยายามจะหาทางออกจากห้องพักผู้ป่วย โดยจะเดินงัดแงะขอบหน้าต่าง ขอบประตู หรือแม้แต่คว่ำโถปัสสาวะ แต่ก็มี น.ส.แหม่ม และสามี คอยดูแลอย่างใกล้ชิด

และสิ่งที่พอจะเป็นหลักฐานได้ว่า น.ส.แหม่ม นั้นดูแลและเอาใจใส่ตานอและยายแว่นเป็นอย่างดี ก็คือรูปภาพ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพที่ น.ส.แหม่ม พาพ่อและแม่ไปวัด, ตัดผมให้พ่อแม่, พาไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ, หรือแม้แต่สภาพความเป็นอยู่ภายในบ้าน มีตู้ มีเตียง มีเสื้อผ้าที่สะอาด ทั้งยังมีถังอ๊อกซิเจนไว้ในห้องนอน เผื่อตานอเกิดป่วยยามฉุกเฉิน ทุกอย่างมีหลักฐานทั้งหมด

 

 ทางทนายดำรงค์จึงมองว่า เรื่องนี้เป็นการกุเรื่องสร้างเรื่องขึ้นมา เพราะนางส้มลิ้มนั้นมีความบาดหมางกับ น.ส.แหม่ม โดยส่วนตัว จึงทำให้นางส้มลิ้มไม่กล้าที่จะเข้ามาในบ้านของ น.ส.แหม่ม ซึ่งญาติคนอื่น ๆ ก็แวะเวียนมาเยี่ยมตากับยายที่บ้านเป็นประจำ ส่วนเรื่องการขอตั้งอนุบาล ให้ตายายไร้ความสามารถ ก็ยอมรับว่ามีการไปยื่นเรื่องกับศาลจริงในวันที่ 24 เมษายน 2566 และศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนฉุกเฉินและให้สามารถคุ้มครองชั่วคราวได้ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 แต่ต่อมาศาลก็ยกฟ้องไป เนื่องจากตานอและยายแว่นไม่ยอม ซึ่งการขอตั้งอนุบาลในครั้งนี้ น.ส.แหม่ม ไม่ได้แอบทำหรือตัดสินใจเพียงคนเดียว แต่ยังมี น.ส.สมุย ซึ่งเป็นลูกติดของยายแว่นให้การยินยอมและเห็นชอบด้วย

ตั้งแต่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ทาง น.ส.แหม่ม ก็ได้มีการนัดนางส้มลิ้มมาพูดคุยเจรจาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่มีการยื่นข้อเสนอว่า น.ส.แหม่ม จะคืนเงินสดให้กับตานอและยายแว่นเป็นจำนวน 5 ล้านบาท และจะโอนที่ดินคืนให้จำนวน 22 ไร่ โดยมีข้อแม้ว่า ตานอและยายแว่นต้องไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับคนอื่น จนกว่าตานอและยายแว่นจะสิ้นอายุขัย และที่ดินทั้งหมดก็ต้องตกเป็นมรดกส่วนกลางไว้จัดสรรปันส่วนกันต่อไป ด้วยข้อเสนอนี้ทำให้ทางด้านฝั่งของนางส้มลิ้มไม่ยอม จึงได้เกิดการฟ้องร้องกันขึ้น

ด้านนางส้มลิ้ม ลูกสาวคนโตของตานอและยายแว่น เล่าถึงคลิปเหตุการณ์ขณะที่ตานอและยายแว่นได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลืออยู่ที่ริมรั้วบ้าน โดยที่ยายแว่นเอาแต่ถามว่า "แม่ไปไหน ส้มลิ้มไปไหน ไปตามมาเร็ว ๆ บอกให้แม่มาพาออกไปหน่อย พาไปตลาดก็ได้" ชายผู้ที่ถ่ายคลิปดังกล่าวก็ถามกลับไปว่า "แล้วทำไมไม่เดินออกมาเล่นนอกบ้านบ้างล่ะ" ทางตานอก็ตอบกลับว่า "จะออกไปได้ยังไง มันล็อก" ซึ่งคลิปดังกล่าวถูกถ่ายไว้เมื่อประมาณต้นเดือนเมษายน 2566 เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ญาติ ๆ รู้ว่าตากับยายถูกขังไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกไปเจอใคร ทำให้นางส้มลิ้มพยายามไปพูดคุยกับ น.ส.แหม่ม ให้ปล่อยตัวตายายออกมา และขู่ว่า "ถ้าไม่ปล่อยพ่อกับแม่ออกมา จะเอาตำรวจมาจับ" จนในที่สุดตานอกับยายแว่นก็สามารถออกมาจากบ้านหลังดังกล่าวได้

ซึ่งนางส้มลิ้มย้ำว่า หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็บอกว่าไม่ขอกลับไปที่บ้านนั้นอีกเลย

ที่แรก! ลูกสาวโต้วางยาฮุบเงินแม่ 500 ล้าน เปิดเอกสารหมอสมองเสื่อมเดินงัดห้อง