ใครขัดขืนฆ่าทิ้ง เปิดนาทีฮามาสบุกจับตัวประกัน
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปบ้านของนายสุพล หรือนายหลอด นิชำนาญ อายุ 39 ปี แรงงานไทยในอิสราเอล ที่หนีเอาตัวรอดไปอยู่ที่สนามบินในอิสราเอล และเดินทางกลับบ้านที่ประเทศไทย ขณะนี้ถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อย พร้อมหน้า นางเจนจิรา พรหมหล้า อายุ 38 ปี ภรรยาและลูกทั้ง 4 คน โดยมีญาติพี่น้องทยอยเดินทางมาเยี่ยมและผูกข้อมือรับขวัญอย่างไม่ขาดสาย

นายสุพล หรือนายหลอด นิชำนาญ อายุ 39 ปี กล่าวว่า ตัดสินใจไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล ก็ได้ศึกษา สถานการณ์ในอิสราเอลว่า เคยเกิดการสู้รบ แต่ภาพที่เคยเห็นคือ การสู้รบทางอากาศ ไม่เห็นเหตุการณ์ทางภาคพื้นดิน และค่าจ้างที่เป็นค่าแรงก็มีส่วนดึงดูดใจให้ไปทำงาน จึงตัดสินใจไป โดยกู้หนี้ไปทั้งหมดเกือบสองแสนบาท ทำเรื่องไป และมีสัญญาการจ้างงาน 5 ปี 3 เดือน จนได้เดินทางไปทำงานในสวนเกษตร ปลูกมะเขือเทศ ได้เงินเดือนๆละ 60000 บาท ความเป็นอยู่ก็ใช้ได้ ซึ่งจุดที่เป็นสวนเกษตร และแคมป์ที่พักคนงานอยู่ห่างจากฉนวนกาซ่า ประมาณ 3 กม.

วันเกิดความรุนแรงหนักคือวันที่ 7-8-9 ตุลาคม โดยเช้าวันที่ 7 ตุลาคมนั้น เริ่มจากการยิงจรวดและทิ้งระเบิดจากบนฟ้า ช่วงสายก็มีกลุ่มฮามาสเดินเท้าในภาคพื้นดิน จับตัวแรงงานไทยไปเป็นตัวประกัน และค่าแรงงานไทย ขณะนั้นได้หลบซ่อนตัวอยู่ในป่ามะเขือเทศจนมืดค่ำ จึงมีทหารอิสราเอลมาขับไล่กลุ่มฮามาสออกนอกพื้นที่ และทหารอิสราเอลก็มาช่วยเหลือแรงงานไทยออกมาได้หลายคน จากนั้นกลุ่มทหารพาไปอยู่ที่ในพื้นที่เบนกามา แต่อยู่ได้นาน ทหารก็มาบอกว่า ไม่ปลอดภัย จะพาไปอยู่ที่พื้นที่ทูฟา พื้นที่ทางภาคเหนือ จึงเดินทางออกไปกับเพื่อนคนไทยรวม 6 คน ไปอยู่ที่ทูฟา และถูกส่งตัวไปทำงานในสวนเกษตร ปลูกแตงกวา

นายสุพล กล่าวต่ออีกว่า ทำงานในสวนแตงกวาก็ไม่สบายใจ เพราะการสู้รบ เข้าในพื้นที่ภาคเหนือแล้ว มีเสียงปืน เสียงระเบิดตลอดเวลา แรงงานไทยทุกคนจึงพยายามติดต่อกับญาติพี่น้องและติดต่อกับสถานทูตไทยและทางการไทยตลอดเวลา เพื่อลงชื่อกลับบ้าน จนได้รับการติดต่อกลับจากทางสถานทูตว่า จะมีเครื่องบินไปรับแรงงานไทย จำนวน 2 คนในวันที่ 18 ตุลาคม นี้ ก็สรุปได้ว่าแรงงานไทย จะได้กลับบ้านเพียง 2 คน อีก 4 คน น่าจะรออีกนาน

"ความปลอดภัย ไม่มีใครรับรองได้ การสู้รบ มันขยับเข้ามาใกล้ตลอดเวลา จึงบอกนายจ้างว่า หากทางการไทยมารับ ก็ต้องเดินทางกลับ และถ้ามีทางที่จะสามารถกลับไทยได้ก็จะพากันออกไปทันที นายจ้างก็บอกว่า ถ้าอ ยู่ไม่ได้ก็ให้ออกไป จึงตัดสินใจจ้างรถแท็กซี่ไปส่งที่สนามบิน เพื่อหาซื้อตั๋วกลับประเทศไทย ดดยภรรยาโอนเงินให้ ทำการและเงินกับเพื่อนคนไทย และสามารถซื้อตั๋วด้วยเงินสดได้ทันที เมื่อได้ตั๋วก็ขึ้นเครืองบิน กลับมาที่ประเทศไทยทันที ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 14.15 น. จากนั้นก็นั่งรถรับจ้างมาที่หมอชิต 2 ซื้อตั๋วรถทัวร์เดินทางกลับมาที่บ้านที่อ.ชุมแพทันที โดยถึงชุมแพในเวลา 23.00 น.คืนที่ผ่านมา ญาติพี่น้องก็ไปเอารถไปรับ กลับมาหาลูกเมียที่บ้าน โดยเฉพาะลูกชายคนเล็ก วัย 7 เดือน ที่เกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย" นายสุพล กล่าว

นายสุพล กล่าวถึงกรณี แรงงานไทยทั้งชายและหญิงที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ว่า เท่าที่ทราบจากข่าวสารในอิสราเอลทราบว่า คนที่เป็นแรงงานไทยชาย ถูกจับไปถ้าขัดขืน จะถูกฆ่าทิ้ง ส่วนผู้หญิงจะถูกทรมานและถูกข่มขืน และกักขังแยกกัน

จึงอยากฝากบอกแรงงานไทยในอิสราเอลว่า สถานการณ์รุนแรง ควรกลับมาบ้านเราก่อน เพราะถ้าเสียชีวิตมันไม่คุ้ม โดยส่วนตัวจะไม่กลับไปเหยียบประเทศอิสราเอลอีก แต่ก็ยังไม่ทิ้งความตั้งใจยังจะไปทำงานต่างประเทศเช่นเดิม เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและใช้หนี้ ตอนนี้ได้กำลังใจจากครอบครัวญาติพี่น้องก็จะอยู่กับครอบครัวก่อน ยังไม่คิดจะไปทำงาน ส่วนการเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการที่จะถือติดตัวไปด้วยคือ เครื่องรางของขลังที่เชื่อว่าจะคุ้มครองให้ตัวเองปลอดภัย ตนเองก็เช่นกัน พี่ชายได้มอบหลวงปู่ทวดให้ติดตัวไป และคิดว่า หลวงปู่ทวด มีส่วนช่วยให้ตนเองปลอดภัยกลับมาหาลูกเมียได้

ตีเนียนมาขายของ คาดมาสอดแนม
นายสุพล ยังเปิดเผยถึงกรณีที่มีกลุ่มฮามาสพูดภาษาไทยหลอกล่อให้ออกมาก่อนจะจับตัวเป็นตัวประกันและฆ่าทิ้ง ว่า จากประสบการณ์การทำงานในอิสราเอลมา 8 เดือน จะเห็นชาวอาหรับผู้ชาย มาในคราบของพ่อค้า สามารถพูดภาษาไทยได้ สื่อสารเป็นภาษาไทยรู้เรื่อง ซึ่งในเรื่องนี้เคยคุยกันและมองว่าอาจจะเป็นกลุ่มฮามาสปลอมตัวมา เพื่อสืบค้นข้อมูลในแต่ละแคมป์ซึ่งมีคนไทยทำงานเป็นจำนวนมาก กระทั่งมีเหตุการณ์รุนแรง และแรงงานไทยก็ถูกกลุ่มฮามาสฆ่าตายจำนวนมาก สาเหตุที่กลุ่มฮามาสฆ่าคนไทย อาจจะมีสาเหตุ ซึ่งมีการพูดคุยในกลุ่มแรงงานว่า คนไทยอาจจะมาแย่งงาน เพราะจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่มีแต่คนไทยมาทำงาน แต่ก็ไม่ขอยืนยันในเรื่องนี้ เพราะเป็นเพียงเรื่องเล่าในกลุ่มแรงงานไทย เท่านั้น

เปิดภาพแรงงานไทยถูกจับ
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวช่อง8 ได้รับคลิปวิดีโอจากภรรยาของนายกง แซ่ลี แรงงานไทยในอิสราเอลที่ยังไม่รู้ชะตากรรม โดยระบุว่าเป็นคลิปที่เพื่อนของนายกงส่งมาให้ ซึ่งภรรยาของนายกง ยืนยันว่าคนในคลิปคือสามี

โดยคลิปดังกล่าวยาวประมาณ 0.9 วินาทีเห็นภาพขณะที่นายกงถูกล็อกคอและจับตัวไป และเห็นกลุ่มผู้ก่อเหตุถืออาวุธปืนยืนขนาบข้างด้วย

ห่วง"มงคล"หนุ่มศรีสะเกษ ไร้การติดต่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อ “แล้วแต่ชอบ ไม่ชอบก็แล้วแต่” ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กของนายจันทร์แสง ปานทอง อายุ 33 ปี หนึ่งในแรงงานในอิสราเอล ได้ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “ขออนุญาตตามหาพี่คนในรูปติดต่อไม่ได้ 3 วันแล้ว รบกวนคนในกลุ่มใครพบเห็นช่วยแจ้งมาทีครับ ล่าสุดพี่เขาเข้าหลบที่โดมโรงมัน Yesha Mivtahim” จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบ ซึ่งทราบว่าบุคคลที่ปรากฏในภาพ คือ นายมงคล ผจวบบุญ อายุ 38 ปี แรงงานไทยในอิสราเอล ชาว อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ที่หายตัวไป โดยไม่รู้ชะตากรรม นานถึง 7 วันแล้ว จึงได้พร้อมกับ นายณัฐฐนันท์ ยศจิตต์ ปลัดอำเภอขุนหาญ นายสมบูรณ์ ประจิม นายก อบต.ห้วยจันทร์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ที่บ้านเลขที่ 68 หมู่ 2 บ้านห้วย ต.ห้วยจันทร์ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ไปพบกับ น.ส.ทิพวัลย์ พลดง อายุ 34 ปี ภรรยาของนายมงคล พร้อมลูกสาวอีก 2 คน วัย 14 ปี และวัย 5 ขวบ เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมสอบถามข้อมูลเพื่อจะได้ประสานให้ความช่วยเหลือในการติดตามหาบุคคลที่สูญหาย

ซึ่งในขณะที่ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ น.ส.ทิพวัลย์ ได้พยาบาลโทรติดต่อกับ นายมงคล ผ่านช่องทางแชตเฟซบุ๊กอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้โทรไปหา นายจันทร์แสง ปานทอง ซึ่งเป็นแรงงานไทยที่เป็นคนบ้านเดียวกันและไปทำงานที่อิราเอล ในแคมป์เดียวกัน ได้มีการพูดคุยสนทนากับผู้สื่อข่าวว่า ในแคมป์นี้มีแรงงานไทยอยู่ทั้งหมด 15 คน เห็นนายมงคล ครั้งล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. 2566 ก่อนเกิดเหตุ โดยขณะนั้น นายมงคล ได้เดินทางออกไปทำงานที่สวนก่อนคนงานคนอื่นๆ จากนั้นได้มีระเบิดตกลงกลางสวนมะเขือเทศ พร้อมกับกระสุนปืนที่ยิงมาจากทั่วสารทิศ คนงานทุกคนต่างหาที่หลบภัยเพื่อเอาชีวิตรอด กระทั่งช่วงสายนายจ้างได้มีการเช็กนับจำนวนคนงาน ปรากฏว่ามี นายมงคล หายไปจากลุ่มเพียงคนเดียว และไม่สามารถติดต่อได้อีกเลยจนถึงวันนี้ ซึ่งคาดว่า นายมงคล อาจหนีไปหลบในไร่ส้ม หรือไม่ก็โรงมัน แต่คนงานที่ไปหลบในไร่มันก็ออกมากันจนหมดแล้ว

ต่อมานายจ้างได้พาอพยพออกมาจากพื้นที่สีแดง ซึ่งจากจุดปะทะประมาณกว่า 100 กิโลเมตร เพื่อความปลอดภัย จึงได้นำรูปภาพโพสต์ลงในเฟซบุ๊กเพื่อให้เพื่อนในเฟซที่ทำงานในอิสราเอล ได้ช่วยกันตามหาอีกแรงหนึ่งด้วย

ขณะที่ น.ส.ทิพวัลย์ พลดง กล่าวว่า สามีตนไปทำงานที่อิสราเอล ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 ทำงานมาแล้ว สัญญา 5 ปี 3 เดือน ทำงานมาแล้ว 3 ปี มีกำหนดกลับอีกประมาณ 2 ปี วันเกิดเหตุตนได้ทราบข่าวจากสื่อต่างๆว่ามีการสู้รบกันเกิดขึ้นในประเทศที่สามีตนไปทำงานอยู่ ตนรู้สึกตกใจ จึงได้รีบโทรผ่านแชตเฟซบุ๊กไปหา แต่โทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด คล้ายกับทางอิสราเอล ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หรือไม่ก็อาจปิดเครื่องประมาณนั้น ทั้งที่แต่ก่อนหน้านี้สามารถติดต่อพูดคุยกันได้ตลอด ซึ่งในตอนเช้าวันเกิดเหตุ สามีตนก็ได้โทรมาหาตนปกติ พอหลังมีข่าวเหตุปะทะระหว่างกลุ่มฮามาส กับอิสราเอล เกิดขึ้น ตนก็พยายามโทรติดต่อและส่งข้อความไปแบบรัวๆ นับครั้งไม่ถ้วน เพื่ออยากจะรู้ความเป็นอยู่ของสามี แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ และข้อความก็ไม่ขึ้นสถานะอ่านแล้วแม้แต่ครั้งเดียว ตนจึงรู้สึกใจคอไม่ดี กินไม่ได้นอนไม่หลับมาเป็นสัปดาห์แล้ว เพราะรู้สึกเป็นห่วงเขา กระทั่งต้องไปพึ่งไสยศาสตร์ หมอดู ก็ทำนายว่า สามีตนยังมีชีวิตอยู่ ตนก็รู้สึกชื่นใจขึ้นมานิด แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ซึ่งเพื่อนๆในแคมป์คนงานพร้อมกับนายจ้างก็พากันออกตามหาอยู่ แต่ก็หาไม่เจอ

ตอนนี้ได้แต่ภาวนาขอให้ได้เจอเขา ขอให้เขาอยู่รอดปลอดภัย และกลับมาหาลูกเมียและครอบครัวที่บ้าน อยากฝากถึงรัฐบาล ให้ช่วยตามหา ว่าเขาอยู่ที่ไหน และหากสามีตนดูข่าวนี้อยู่อยากฝากบอกให้รีบติดต่อมาและให้เขารีบบินกลับมาบ้าน และจะไม่ให้กลับไปทำงานอีกแล้ว

เหยื่อรอดตายแฉฮามาสจับสาวขังแยกขืนใจ คิดสู้คือตาย ซ้ำร้าย 1 แรงงานยังสาบสูญ