วันนี้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีสายการบินที่จากประเทศอิสราเอล เดินทางมาประเทศไทย คือ สายการบิน ELAL (แอลอัล) ที่ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติเบนกูเรียน กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อคืนนี้ มาถึงประเทศไทยในเวลาประมาณ 11.50 น. โดยการสายการบินนี้มีแรงงานไทยที่ไปทำงานการเกษตร ทางตอนเหนือและกลางของประเทศอิสราเอลเดินทางกลับมาด้วย
นายวีระศักดิ์ วงศ์อินตา หรือ นิด ทำงานอยู่ชาว อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น 1ในแรงงานไทยที่ไปทำงานประเทศอิสราเอล เปิดเผย ความรู้สึกครั้งแรกที่เดินทางถึงประเทศไทยว่ารู้สึกดีใจ ตนไปทำงานฟาร์มวัวในพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งสถานการณ์ปกติและที่ได้เดินทางกลับมาวันนี้ เพราะอยู่ทำงานครบสัญญา 5 ปี ครึ่ง จองตั๋วล่วงหน้าไว้กลับ 10 กว่าวันแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นความโชคดี
นายวีระศักดิ์ บอกอีกว่า ที่ขอนแก่นมีเพื่อนแรงงานเสียชีวิตหลายคน รู้สึกเสียใจและสงสาร ที่อิสราเอลมีเพื่อนแรงงานเสียชีวิตเยอะแต่ข่าวไม่ออก บางพื้นที่เข้าไปไม่ถึงก็มี เห็นคลิปและข่าว รู้สึกใจหาย แสดงความเสียใจกับครอบครัว เพื่อนแรงงานที่สูญเสียด้วย
ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย ต้องใช้ชีวิตอยู่แบบระแวง เพราะได้ยินเสียงยิงกันเป็นระยะส่วนใหญ่ และจะชอบยิงกันตอนกลางคืน ทั้งเสียงระเบิดเสียงปืน รถถัง แคมป์คนงานที่พักอาศัยอาศัยอยู่ห่างจากพื้นที่สู้รบประมาณ 100 กิโลเมตร แต่นายจ้างก็มีแจ้งให้ไปหลบอยู่ในบังเกอร์ ซึ่งเป็นหลุมหลบภัยเวลามีเสียงปะทะ
ส่วนที่มีการบอกว่าการให้ความช่วยเหลือจะเลือกช่วยเฉพาะกลุ่มนั้น นายวีระศักดิ์ บอกว่าทางอิสราเอลให้ความช่วยเหลือได้เท่าจะช่วยได้เบื้องต้น อย่างบางพื้นที่ที่ปลอดภัย นายจ้างก็จะเอาแรงงานไทยไปฝากให้อยู่ก่อนไม่ใช่เอาไปขายต่ออย่างที่เป็นข่าว
นายวีระศักดิ์ ยังเล่าถึงการใช้ชีวิตของแรงงานไทยในอิสราเอลว่า ”เงินดีได้เยอะกว่าทำงานบ้านเราอยู่ไทยได้วัน300- 400 ที่อิสราเอลได้ค่าจ้างวันละ 2,000 บาท และตลอด 5 ปีที่ทำงานที่นั่นก็ไม่เคยเจอกับเหตุการณ์สู้รบที่รุนแรงเท่าครั้งนี้ และไม่คิดว่าจะยิงคนไทยแบบไม่เลือกหน้า และได้ยินคนบอกว่าเข้ามาก็ยิงกระหน่ำเลย ชีวิตแรงงานเลือกไม่ได้ ว่าจะได้ทำงานพื้นที่ไหนอยู่ที่บริษัทจัดหางาน ที่จะจัดพื้นที่ให้ไปลง คนที่ไปอยู่ทางภาคใต้ติดชายแดน หรือ ฉนวนกาซา ก็ต้องรับความเสี่ยง แม้รู้ว่าชีวิต ไม่ปลอดภัยก็ต้องยอมเสี่ยงทำเพราะเงิน”
The Times of Israel ได้รายงานว่า กองกำลังอิสราเอล สามารถระบุสถานะของตัวประกัน 30 คนได้ในคิบบุตซ์ ไอน์ ฮาชโลชา (Kibbutz Ein Hashlosha) ทางตอนใต้ของอิสราเอล ได้แล้ว
ซึ่งเจ้าหน้าที่กล่าวว่า ได้รับรายงานเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เมื่อคืนที่ผ่านมา ถึงกลุ่มตัวประกันที่หายไปว่ายังมีชีวิตอยู่ โดยเป็นกลุ่มชาวอิสราเอล 16 คน เป็นเป็นแรงงานชาวไทย 14 คน ที่สูญหาย โดยทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าให้ความช่วยเหลือ พบว่า ทั้งหมดยังมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดี
ทั้งนี้ กองทัพอิสราเอล ยังเดินหน้าตามหาพลเรือนที่โดนจับกุมตัวไป โดยให้คำมั่นว่า จะทำงานตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อช่วยเหลือคนที่หายไปกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้
นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานเหตุความรุนแรงในพื้นที่ตะวันออกกลาง ประเทศอิสราเอลว่า สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ได้รับรายงานจากแรงงานไทยในพื้นที่ว่า มีผู้เสียชีวิตจากการเหตุจรวดโจมตีเพิ่มเติม จำนวน 2 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสมขณะนี้ 20 ราย และมีจำนวนผู้บาดเจ็บเพิ่ม 4 คน ทำให้มีผู้บาดเจ็บสะสม 13 คน ซึ่งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเทลอาวีฟฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทลอาวีฟแล้ว ส่วนจำนวนผู้ที่ถูกจับกุมตัวนั้น แรงงานในพื้นที่แจ้งว่า มีผู้ถูกจับกุมตัวเป็นตัวประกันเพิ่ม 3 คน ทำให้ขณะนี้ มีแรงงานไทยในอิสราเอล ถูกจับเป็นตัวประกัน จำนวน 14 คน โดยยอมรับว่า ยังไม่สามารถยืนยันความปลอดภัยของแรงงานได้ เพราะเป็นสภาวะการณ์สงคราม ซึ่งกลุ่มฮามาส ได้แจ้งว่า มีการจับตัวประกันไปทั้งสิ้น 150 คน และคาดว่า จะมีการกระจายตัวประกัน ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และมั่นใจว่า กลุ่มแรงงานไทย และชาวต่างชาติ ไม่ใช่เป็นกลุ่มเป้าหมายการทำร้ายของกลุ่มฮามาส
ส่วนกรณีที่มีรายงานแรงงานไทยได้รับการช่วยเหลือ 14 คนในพื้นที่อันตรายนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า เป็นคนละส่วนกับกลุ่มที่ถูกจับเป็นตัวประกัน 14 คน และเชื่อว่า ระหว่างนี้ ยังมีการช่วยเหลืออพยพแรงงานไทย และชาติอื่น ๆ ในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่ได้ปรากฎเป็นข่าว ส่วนแรงงานที่สถานเอกอัครราชทูตไม่สามารถติดต่อได้ ก็จะประสานต่อนายจ้าง และตัวแทนกลุ่มแรงงานในพื้นที่
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังชี้แจงในกรณีที่แรงงานถูกนายจ้างยึดหนังสือเดินทางไว้ว่า สถานเอกอัครราชทูต จะออกเอกสารสำคัญประจำตัว Certificate of Identity หรือ C.I. ให้ทดแทนสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางกลับประเทศ และสถานเอกอัครราชทูต จะไปประจำการอยู่ที่สนามบิน เพื่อเตรียมการออกเอกสารต่าง ๆ ให้ผู้ที่ต้องการเดินทางกลับ ซึ่งขณะนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งรองอธิบดีกรมการกงสุล และเจ้าหน้าที่ไปให้ความช่วยเหลือในพื้นที่กว่า 10 คน และยังมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพิ่มเติมด้วย
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังเปิดเผยถึงจำนวนผู้ขออพยพกลับประเทศไทยว่า สถานะในวันที่ 10 ตุลาคม มีผู้แสดงความประสงค์กลับประเทศไทยแล้วทั้งสิ้น 5,019 คนและไม่ประสงค์เดินทางกลับ จำนวน 61 คน โดยในวันพรุ่งนี้ (12 ต.ค.) แรงงานไทยที่ได้รับการช่วยเหลือ จะถึงประเทศไทยชุดแรกจำนวน 15 คน ที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ในเวลา 10.35 น. พร้อมขอให้มั่นใจว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด แม้จะยังมีข้อจำกัดในการอพยพจากสถานการณ์ในอิสราเอล
ส่วนกรณีที่ประเทศอื่น ๆ สามารถอพยพพลเมืองของตนได้สำเร็จ และรวดเร็วกว่านั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบยุโรป และไม่ไกลจากอิสราเอลมาก และส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว สามารถรวมพลได้ง่ายไม่ต้องฝ่าพื้นที่อันตรายออกมาเหมือนแรงงานที่กระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ พร้อมย้ำว่า แรงงานที่ได้รับความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ปลอดภัย เพื่อให้ทำงานกับนายจ้างคนใหม่นั้น ก็ยังสามารถลงชื่อเพื่อขอกลับประเทศได้ และหากสถานการณ์สงบแล้ว กระทรวงแรงงาน จะประสานทางการอิสราเอล และหน่วยงานรับหางาน เพื่อให้สามารถกลับไปทำงานได้ต่อ โดยจไม่เสียสิทธิใด ๆ และแรงงานไทย ยังมีสิทธิปฏิเสธไม่ทำงานในภาวะสงครามได้ และหวังว่า นายจ้างจะพิจาความปลอดภัย เพราะในพื้นที่ที่มีการสู้รบ ทางการอิสราเอล ก็ประกาศไม่ให้ออกจากเคหะสถาน
ทั้งนี้ ระหว่างการแถลงข่าว โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้เปิดเผยภาพที่นางพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยในค่ายแรงงานไทยในอิสราเอล เพื่อชี้แจงถึงการเตรียมการ และขั้นตอนการอพยพกลับประเทศ
สำหรับรายชื่อผู้ที่จะเดินทางกลับประเทศไทยด้วยเครื่องบินของสายการบิน El Al เที่ยวบิน LY083 ในวันพรุ่งนี้ (12ต.ค.)
- นายสมมา แซ่จ๊ะ
- นายจิรายุ สุกใส
- นายวิมาน วงศ์จำปา
- นายกรัชกร พุทธสอน
- นายอนุชา บุญญะสาร
- นายกิตติพงษ์ ไชยโก
- นายสมบูรณ์ แซ่ว่าง
- นายจันทร์ดี แซ่ลี
- นายสุพิพัฒน์ กงแก้ว
- นายสมพร คาระบุตร
- นายธนศักดิ์ จันทร์ดำ
- นายสถิตย์ พรมอนารถ
- นายไกรสร บัวฝาย
- นายณรงค์ชัย ลีละครจันทร์
- นายวิชัย คำศรี
ด้าน นางทิพประภา แซ่ว่าง อายุ 68 ปี เป็นแม่ของนายสมบูรณ์ บอกว่า ส่วนตัวเสียงเงินให้ลูกไปทำงานประมาณ 6 หมื่นบาท ดีใจที่ลูกมีรายชื่อกลับไทยเป็นรอบแรก ซึ่งหากย้อนกลับไปในวันเกิดเหตุ ยอมรับว่าลูกชายโทรมาบอกว่าเกิดสงคราม พอได้ยินก็เป็นห่วงลูก กินข้าวไม่ได้และนอนไม่หลับ ซึ่งในฐานะคนเป็นแม่ ในขณะที่ลูกหลบอยู่ในห้องนิรภัย ก็แนะนำลูกได้แค่อย่าออกไปไหนและภาวนาให้ลูกปลอดภัย
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าเป็นบทเรียนของครอบครัว ซึ่งการอยู่ประเทศไทย ดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าอยู่ไปแล้วไม่มีงานทำ วันข้างหน้าอาจจะส่งลูกไปทำงานต่างประเทศ แต่ต้องเป็นประเทศที่ปลอดภัยโดยไม่มีสงคราม ทั้งนี้ก็ขอขอบคุณทหารอิสราเอล และรัฐบาลไทย ที่ช่วยให้ลูกได้กลับบ้าน วันพรุ่งนี้ส่วนตัวคงไม่ได้ไปรับลูกที่สนามบิน แต่จะรอรับลูกอยู่ที่บ้าน เนื่องจากตนเองป่วยอยู่
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วย นายชัชวาล แพทยาไทย สส. ร้อยเอ็ด เขต 7 และนายรัตนมงคล เลิศทวีวิทย์ อดีตผู้สมัคร สส. กทม. วีดิโอคอลพูดคุยกับกลุ่ม ‘แม่บ้านคนไทยในอิสราเอล’ ที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องคนไทยที่อพยพจากพื้นที่สีแดงมายังพื้นที่ปลอดภัยจากการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธฮามาสจำนวนกว่า 400 คน ที่พักอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว
โดยกลุ่มนี้เริ่มต้นจากการรวมกันของแม่บ้านไทยในอิสราเอลและพนักงานล่ามแปลภาษาไทย-อิสราเอล ของบริษัทจัดหางานในประเทศอิสราเอล ร่วมมือกับคนอิสราเอล ขอใช้พื้นที่ส่วนกลางของชุมชนในเขตปลอดภัย และตระเวนขับรถบัสไปรับคนไทยที่อยู่ในพื้นที่สีแดงมาอยู่ในศูนย์พักพิง รวมยอดวันที่ 10 ตุลาคม 2566 จำนวน 350 คน และวันที่ 11 ตุลาคม 2566 มีผู้อพยพมาเพิ่มอีก 50 คน โดย 2 คนเสียชีวิตจากการถูกจรวดโจมตี รวมแล้วกว่า 400 คน และจะทยอยไปรับคนไทยในพื้นที่สีแดงอีกอย่างต่อเนื่อง
ล่ามภาษาไทย-อิสราเอลที่มาเป็นอาสาสมัครในศูนย์ เปิดเผยว่า จริงๆ แล้วมีคนไทยในอิสราเอลกว่า 60,000 คน เพราะจำนวนคนไทยที่รัฐบาลเปิดเผยคือคนที่มีวีซ่า แต่ยังไม่รวมแรงงานที่ไม่มีวีซ่าอีกจำนวนมากที่อยู่ในพื้นที่สีแดง และไม่กล้าขอประสานกลับบ้าน ส่วนเรื่องสัญญาณมือถือในจุดที่อพยพยังใช้งานได้ และคนไทยที่ศูนย์ยังสามารถติดต่อกับครอบครัวและญาติได้ว่าตัวเองยังปลอดภัย ขณะที่ความเป็นอยู่ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาเพราะกลุ่มแม่บ้านระดมเงินกันเองเพื่อซื้อวัตถุดิบปรุงอาหาร และขอความร่วมมือกับเพื่อนบ้านรอบๆ หมู่บ้าน ทุกเมืองให้ช่วยจัดหาสิ่งที่ต้องการ
ทั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ และ สส. พรรคไทยสร้างไทยได้ให้กำลังใจอาสาสมัครคนไทย ผู้อพยพแรงงานไทย และขอบคุณชาวอิสราเอลที่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งประสานระดมเงินช่วยเหลือในระหว่างที่ยังพักอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว และรับเรื่องประสานรัฐบาลเพื่อไปรับคนไทยที่ต้องการกลับบ้าน พร้อมทั้งรับปัญหาของคนไทยที่ไม่มีวีซ่าแต่ต้องการกลับบ้านไปหารือในสภาผู้แทนราษฎร