31 กรกฎาคม 2566 ความคืบหน้าหลังวันที่  30 ที่ผ่านมา จากกรณีนายสุขชัย อายุ 52ปี รปภ. หมวดทางหลวงละหาน ใช้อาวุธปืนขนาด.38 ยิงนายวิชา ซึ่งเป็นพี่เขยคาบ้านพัก จังหวัดชัยภูมิ ก่อนที่เจ้าตัวจะขับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า เอ็มสแลช มุ่งหน้าถนนชัยภูมิ-สีคิ้ว ไปที่หมวดทางหลวง ก่อนที่จะลงมือก่อเหตุ ยิงนายพงศ์ธร อายุ 31ปี เป็นลูกจ้างชั่วคราวหมวดทางหลวงละหาน เสียชีวิตอีก 1 ศพ ก่อนขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป เหตุเกิดเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา

 

ล่าสุดวันนี้(31 ก.ค.66) ทีมข่าวช่อง 8 ยังคงไปติดตามความคืบหน้าทางคดี ในพื้นที่ สภ.บ้านค่าย และ สภ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ ซึ่งตามข้อมูลของตำรวจ พบว่านายสุขชัย ผู้ก่อเหตุ ยังคงวนเวียนอยู่ในพื้นที่รอยต่ออำเภอที่เกิดเหตุ เนื่องจากมีชาวบ้านแจ้งเบาะแสว่าเห็นนายสุขชัย เดินเข้าไปในป่าในพื้นที่ บ้านโนนขี้ตุ่น ในตำบล ตลาดแร้ง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ และมีการไปหาพระซึ่งเป็นน้องชาย ในพื้นที่บ้านหว้าเฒ่า ตำบลภูแลนคา อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ

 

ซึ่งวันนี้ก่อนที่ทีมข่าวจะไปตามเบาะแสดังกล่าว ทางตำรวจชุดสืบสวน นำโดย ร.ต.อ.เจริญ ชิณทิพย์ รอง สว.สส.สภ.จัตุรัส ได้ย้อนรอยกลับไปยังบ้านของนายสุขชัย ผู้ก่อเหตุอีกครั้ง โดยทันทีที่ไปถึงทางตำรวจต้องถือปืนเดินเข้าไปตรวจสอบทั้งชั้นบนและชั้นล่างของบ้าน เพราะไม่มีใครรู้ว่านายสุขชัย จะย้อนกลับมาที่บ้านหรือไม่

 

จากนั้นเมื่อภายในบ้านไม่พบตัวใครอยู่ในบ้าน ทางตำรวจได้เดินไปตรวจสอบต่อที่ห้องน้ำหลังบ้าน กระทั่งไปเจอว่าห้องน้ำปิดประตูอยู่ ทางตำรวจจึงถีบประตูเข้าไป ซึ่งเหตุการณ์นี้มีคลิปในขณะที่ตำรวจถีบประตูเข้าไปตรวจสอบ

 

ซึ่งก่อนตำรวจจะถอนกำลังออกจากบ้านของนายสุขชัย ยังพบเบาะแสอีกว่ากล้องวงจรปิดที่ก่อนหน้านี้นายสุขชัย ถอดเมมโมรี่การ์ดและถอดปลั๊กออกไปก่อนไปก่อเหตุ ดันมีคนกลับมาเสียบปลั๊ก ซึ่งทางตำรวจสงสัยว่า นายสุขชัย อาจจะดูและฟังเสียงจากกล้องวงการผ่านมือถือแบบเรียลไทม์ ทาง ร.ต.อ.เจริญ ก็เลยพูดผ่านกล้องไปว่า เอกถ้าได้ยินอยู่ ยังไงขอให้กลับมามอบตัว จะได้ไม่ต้องใช้กำลังซึ่งกันและกัน หากมอบตัวรับประกันว่าจะไม่มีใครทำร้ายอย่างแน่นอน

 

ซึ่งหลังจากทางผู้กองเจริญ พูดจบก็ได้มีการให้ชุดสืบถอดปลั๊กกล้องวงจรปิดออกทั้งสองตัว เนื่องจากหากเสียบไว้นายสุขชัย จะรู้และได้ยินความเคลื่อนไหวของคนในบ้านและตำรวจตลอด

 

ส่วนเบาะแสล่าสุดที่ตำรวจได้มาในวันนี้ พบว่านายสุขชัย ได้เตรียมการหลบหนีเอาไว้ก่อนจะก่อเหตุโดยการไปกดเงินเอาไว้ติดตัว 2 ครั้ง ซึ่งภาพจางวงจรปิดหน้าร้านสะดวกซื้อใกล้กับที่เกิดเหตุ สามารถจับภาพเอาไว้ได้ในวันที่ 17 ก.ค. เวลาประมาณ 12.10 น. ซึ่งจะเห็นว่าเจ้าตัวได้ขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อเอ็มสแลซสีน้ำเงินซึ่งเป็นรถคันเดียวกันที่ใช้ก่อเหตุและหลบหนี มีการเดินเข้าไปกดเงิน พอกดเงินเสร็จก็เดินมาสวมหมวกกันน็อกแล้วก็ขี่รถกลับบ้าน

  

ส่วนในวันที่ 24 ก.ค. โดยในภาพจะเห็นว่า นายสุขชัย ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อเอ็มสแลซสีน้ำเงินเข้าไปกดเงินที่หน้าตู ATM ตรงร้านสะดวกซื้อที่เดิม แต่รอบนี้ใส่เสื้อสีส้ม พอกดเงินเสร็จได้ขี่รถมาจอดอีกฝั่ง จากนั้นก็เดินไปเติมเงินมือถือที่หน้าตู้เติมเงิน ซึ่งวงจรปิดตัวนี้จะเห็นทั้งลักษณะรถและหน้าของนายสุขชัย อย่างชัดเจน

ซึ่งจากนั้น หลังก่อเหตุก็ไม่พบความเคลื่อนไหวทางบัญชีว่านายสุขชัย ไปกดเงินที่ไหนอีกหลังก่อเหตุอีกเลย

 

ส่วนวงจรปิดนาทีสำคัญที่ทีมข่าวได้มาในวันนี้ จะเป็นภาพหลังเกิดเหตุไม่กี่นาที ซึ่งหลังจากนายสุขชัย ได้ก่อเหตุยิงพี่เขยเสร็จแล้ว นายสุรศักดิ์ ซึ่งเป็นหลานผู้ก่อเหตุที่อยู่ในเหตุการณ์ และเล่าให้ทีมข่าวฟังเมื่อวานว่าตัวเขาเองต้องหนีตายออกมาขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน

 

โดยวงจรปิด ที่เทศบาลซึ่งสามารถจับภาพได้ จะเห็นว่า นายสุรศักดิ์ ได้ปีนข้ามรั้วเข้ามาทางด้านหลังเทศบาล จากนั้น จะเห็นว่านายสุรศักดิ์ ได้วิ่งหนีตายไปยังหน้าเทศบาล แล้วก็ไปเดินและวิ่งผ่านกล้องตัวที่

 

ต่อจะเห็นว่าหลังจากที่นายสุรศักดิ์ ปีนรั้วหนีเข้ามาในเทศบาล ไฟหน้ารถของนายสุขชัย ก็ติดขึ้นตรงหน้าบ้านที่เกิดเหตุ แล้วก็ค่อยๆขี่ออกมาจากบ้าน

 

ซึ่งจังหวะที่นายสุขชัย ขี่รถออกมา จะเห็นว่า นายสุรศักดิ์ ที่กำลังจะเดินออกไปทางหน้าเทศบาล พอเห็นรถของนายสุขชัย ขี่ออกมาเจ้าตัวได้วิ่งไปหมอบตรงใต้ต้นไม้ข้างเสาธงเพื่อเอาตัวรอด

 

ขณะเดียวกันวันนี้ ทีมข่าวได้ไปเจอกับ นายสุรวิทย์ อายุ 20 ปี เป็นพนักงานเทศบาลบ้านค่ายที่อยู่ในเหตุการณ์ พาทีมข่าวไปดูบริเวณรั้วด้านหลังเทศบาลที่นายสุรศักดิ์ ปีนหนีเอาชีวิตรอดเข้ามา ซึ่งจากการตรวจสอบที่ทีมข่าวลองไปปีนข้ามรั้วดังกล่าวมาในวันนี้ มีลักษณะเป็นรั้วเหล็กและมีความสูงประมาณ 1 เมตร โดยจุดดังกล่าวจะอยู่ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุไม่ถึง 30 เมตร 

 

ซึ่งนายสุรวิทย์ เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ก่อนที่นายสุรศักดิ์ จะปีนรั้วเข้ามา ยืนยันว่าไม่ได้ยินเสียงปืน แต่ได้ยืนเสียงหมาวิ่งไล่เห่านายสุรศักดิ์ ก็เลยเดินออกไปดู แต่ปรากฎว่าไม่เห็นใคร จึงไปเปิดกล้องวงจรปิดถึงเห็นเหตุการณ์ตามที่ช่อง 8 บันทึกภาพไป ซึ่งหลังจากที่นายสุรศักดิ์ ลงไปหมอบเพื่อหลบรถของคนก่อเหตุ เขาปีนรั้วข้างเทศบาลไปขอความช่วยเหลือกับร้านซ่อมรถ ยืนยันก่อนเกิดเหตุนายสุขชัย ใช้เส้นทางหลังเทศบาลเข้าออกบ้านทุกวัน แต่ไม่เคยแวะมาพูดคุยกับคนในเทศบาล ยอมรับว่าตอนนี้หากทำงานเข้ากะกลางคืน เวลาเดินไปเดินมาก็ต้องระวังตัว เนื่องจากไม่รู้ว่าคนก่อเหตุจะย้อนกลับมาที่บ้านหรือไม่

 

จากนั้นในเวลา 16.00 น.ทีมข่าวได้รับแจ้งจากตำรวจชุดสืบสวนว่าจะเข้าไปค้นในจุดเบาะแสที่ 2. ก็คือที่สำนักสงฆ์อริยภูมิ ในพื้นที่บ้านหว้าเฒ่า ตำบลภูแลนคา อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งจุดดังกล่าว เป็นสำนักสงฆ์ของทางครอบครัวนายสุขชัย ที่มีพระน้องชาย บวชอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

 

โดยทันทีที่ตำรวจและทีมข่าวเดินทางไปถึง ตำรวจก็ได้มีการบอกกับ นายธนรัตร์ นาคหมื่นไวย หรือพระธรรมมิโก ภิกขุ อายุ 48 ปี ซึ่งเป็นพระน้องชายของนายสุขชัย ว่าจะมาขอตรวจค้น เนื่องจากมีเบาะแสว่านายสุขชัย ได้เข้ามาหาพระหลังเกิดเหตุ

 

ซึ่งวันนี้ทางตำรวจ จำเป็นต้องถืออาวุธปืนยาวครบมือ ปูพรมเข้าไปตรวจค้นที่ป่าหลังสำนักสงฆ์ เนื่องจากพบร่องรอยยางรถจยย.ใหม่ๆขี่เข้าไปในป่า โดยจุดแรกจะเป็นการตรวจค้นบริเวณห้องน้ำ จากนั้นตำรวจได้เดินต่อไปค้นที่เต็นท์ตรงทางเข้าป่า ซึ่งจุดนี้ทางตำรวจได้มีการวางแผนก่อนจะเข้าไป เพราะเต้นท์ที่กางมันปิดอยู่ จึงต้องกระจายกำลังกันอย่างระมัดระวัง เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่านายสุขชัย จะซ่อนตัวอยู่ในนั้นหรือไม่

 

หลังจากนั้นเมื่อเคลียร์ที่เต็นท์ เรียบร้อยทางตำรวจได้นำกำลังเดินเข้าไปตรวจค้นต่อในป่า ซึ่งจุดดังกล่าวเป็นป่ารกทึบและมีพื้นที่กว้าง ทางตำรวจจึงขอความร่วมมือให้ทีมข่าวนำโดรนขึ้นไปสำรวจว่ามีรถหรือเต้นท์ที่ซุกซ่อนในป่าอีกหรือไม่

 

โดยพื้นที่สำนักสงฆ์ของทางครอบครัวนายสุขชัย ที่ทีมข่าวนำโดรน ขึ้นไปบินสำรวจ พบว่าตามข้อมูลมีพื้นที่ประมาณ 74 ไร่ แต่ไม่พบรถหรือเต็นท์ซึ่งเป็นที่หลับนอนซ่อนอยู่ในพื้นที่ป่าดังกล่าว

 

นอกจากนี้ หลังตรวจค้นแล้วเสร็จ ทางตำรวจได้เข้าไปกราบพระน้องชายของนายสุขชัย และได้ขอความร่วมมือให้หลวงพี่บอกปมเหตุที่เกิดขึ้นว่า เหตุผลที่นายสุขชัยไปยิงสองศพเป็นเพราะเรื่องอะไรกันแน่

 

โดยพระธรรมมิโก ภิกขุ ก็ได้เปิดเผยอย่างละเอียดกับตำรวจที่นั่งอยู่ว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 3 ปีก่อนนายสุขชัย ซึ่งเป็นโยมพี่ ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดเชียงราย กระทั่งทางครอบครัวได้แบ่งสมบัติที่ดินกัน ซึ่งที่ดินของนายสุขชัย ติดอยู่กับที่ดินของโยมพี่สาวก็คือภรรยาของนายวิชา ผู้ตาย โดยในขณะที่แบ่งที่ดินกันก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งในเมื่อนายสุขชัย ยังไม่ได้กลับมาใช้ชีวิตที่บ้าน ทางนายวิชา พี่เขยก็ได้เข้ามาปลูกต้นแก้วมังกร ไว้ในที่ดินของนายสุขชัย เพราะเห็นว่าเขายังไม่กลับมา จนกระทั่งเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว หลังจากนายสุขชัย เลิกกับภรรยาที่อยู่เชียงราย ก็ได้กลับมาใช้ชีวิตที่บ้าน กระทั่งเมื่อเห็นต้นแก้วมังกร มาปลูกในที่ดินของเขา เขาก็เลยตัดต้นแก้วมังกรทิ้งทั้งหมด จากนั้นทั้งคู่ก็เก็บปัญหานี้เอาไว้ในใจซึ่งกันและกัน จนกระทั่งก็มีปัญหากันอีก 2 เรื่อง คือเรื่องที่ 1.นายสุขชัย เข้าใจว่าพี่เขยไปตัดต้นสักที่เขาปลูกเอาไว้และเรื่องที่เลี้ยงหอยเอาไว้แล้วหอยตายหมดบ่อ และ 2. คือเรื่องสำคัญที่นายสุขชัย โกรธแค้นมาในใจตลอด ก็คือเรื่องที่นายสุขชัย เคยเป็น ผื่นขึ้นเต็มตัว ไปหาหมอที่ไหนก็ไม่หาย กระทั่งเป็นแผลเป็นตามร่างกาย ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ที่นายสุขชัย โกรธแค้นนายวิชามาตลอด ก็คือเรื่องที่นายวิชาเคยไปพูดกับชาวบ้านว่านายสุขชัยเป็นเอดส์ จึงเป็นชนวนเหตุสะสมในใจของนายสุขชัยมาตลอด / ส่วนเพื่อนร่วมงาน ที่ถูกยิงเป็นศพที่สอง เท่าที่อาตมารู้ นายสุขชัย มีความแค้นในใจที่เคยถูกเพื่อนร่วมงานใส่ร้าย

 

ส่วนความคืบหน้าล่าสุดในวันนี้ ทางตำรวจไปพบว่า นายวิชา ได้ไปกบดานอยู่ที่บ้านของพ่อเพื่อน ในอำเภอหนองบัวแดง ซึ่งเป็นรอยต่อจังหวัดเพชรบูรณ์ แต่เมื่อตำรวจไปถึง ก็ไม่พบตัว เนื่องจากตัวนายสุขชัย ไหวตัวทันและได้ออกเดินทางไปจากบ้านหลังดังกล่าวในช่วงเช้าของวันนี้ ซึ่งการตรวจค้นบ้านซึ่งเป็นกระท่อมอยู่ในไร่อ่อย ตำรวจไปพบกระสุนปืนจุด 38 เกือบเต็มกล่องที่นายสุขชัย ทิ้งเอาไว้แต่ไม่พบปืนที่นายสุขชัยนำติดตัวไปด้วย

ลากอาก้าล่ายามเหี้ยม สั่งวางปืนผ่านกล้องถามนิ่มๆ "อยากอยู่ไหม" จมูกไวเผ่นป่า