เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีมีอุบัติเหตุรถโตโยต้าฟอร์
จูนเนอร์เสียหลักพุ่งชนรถจักรยานยนต์ ที่มีหญิงสาวซ้อน 3 กันมา โดยชนอย่างแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บ 2 คน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ถนนภายในชุมชนก่อนถึง รพ.สต.กระฉอด ต.ตลาด อ.เมือง จนครราชสีมาเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวัชที่ 18 พ.ค. 66 ช่วงเวลา 16.53 น. ที่ผ่านมา
ล่าสุดครอบครัวผู้บาดเจ็บพาน้องสุกัญญา อายุ 23 ปี นั่งรถเข็นเดินทางมายัง สภ.จอหอ เพื่อมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนหลังจากที่เกิดเหตุผ่านมา 2เดือน คดีไม่คืบหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจผลัดฟ้องถึง 2 ครั้ง

โดยภาพจากกล้องวงจรปิด บันทึกภาพนาทีเกิดเหตุไว้ได้

ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปยังบ้านของผู้บาดเจ็บ ที่ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยนางสาวพิชญวดี ขำเทศเจริญ อายุ 25 ปี ที่ยังต้องรักษาอาการบาดเจ็บเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่ภายในห้องนอน ส่วนนางสาวสุกัญญา ขำเทศเจริญ อายุ 22 ปี น้องสาว ผู้บาดเจ็บที่ต้องนั่งวีลแชร์ อาการดีขึ้น แต่ก็ยังเดินไม่ได้

นางสาวพิชญวดี เปิดใจกับทีมข่าวว่า วันเกิดเหตุตั้งใจจะเดินทางไปพักที่หอของเพื่อนน้องที่เสียชีวิต ซึ่งตนเองเป็นคนซ้อนท้าย โดยวินาทีที่เกิดเหตุ จำได้แค่เห็นรถคนก่อเหตุขับแซงมาพุ่งชน หลังจากนั้นก็ไปฟื้นที่โรงพยาบาล ซึ่งทันทีที่ฟื้นขึ้นมา ก็ช็อคหมดสติไปอีกเนื่องจาก ทางแพทย์เดินมาแจ้งว่าน้องสองคนที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน มี 1 คนเสียชีวิต ส่วนอีกคนอาจจะถูกตัดขา

ส่วนอาการบาดเจ็บ ตอนนี้ยังรู้สึกชาและรู้สึกเจ็บขณะขยับตัว ที่สำคัญยังไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้ ยอมรับว่าหลังเกิดเหตุ เท่าที่จำความได้ แม่และน้องคนที่ก่อเหตุมาเยี่ยมและมาขอโทษที่โรงพยาบาล 3 ครั้ง แต่พอออกมารักษาตัวที่บ้าน ทางครอบครัวผู้ก่อเหตุไม่ได้มาเยี่ยมหรือโทรมาสอบถามอาการอีกเลย

ส่วนเงินเยียวยาที่ทางแม่เรียกไป 1 ล้านบาท ยืนยันว่าตอนนี้ได้แค่เงินรักษาเบื้องต้นมาแค่คนละ 50,000 บาทเท่านั้น ซึ่งการรักษาตัวของน้องสาว ตอนนี้หมดไปแล้วกว่า 400,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายของตนเอง มีค่าจ้างรถเอกชนมารับไปโรงพยาบาล ครั้งละ 1,000 บาท ซึ่งหมดไปแล้วกว่า 10,000 บาท

โดยเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากต้องมาเจ็บตัวด้วยและต้องมาเสียโอกาสในการเรียนที่กำลังจะเรียนจบ ซึ่งที่ผ่านมา ครอบครัวของตนเอง 3 คนแม่ลูก ทุกคนช่วยกันทำงานเพื่อเลี้ยงครอบครัว แต่ตอนนี้ลูกสองคนก็ไม่สามารถทำงานช่วยแม่ได้ ที่สำคัญแม่ก็ต้องมาตกงานเพราะต้องมาดูแลลูกๆ

ส่วนฝั่งของเพื่อนน้องสาวที่เสียชีวิต เท่าที่ได้คุยกัน เขาแจ้งมาว่าได้เงินจาก พ.ร.บ.มาแล้ว 500,000 บาท แต่ยังไม่ได้รถจยย.คันใหม่ที่ครอบครัวคนก่อเหตุสัญญาว่าจะซื้อคืนให้ สุดท้ายถ้าหากทางฝั่งครอบครัวคนก่อเหตุฟังอยู่ ก็ขอให้เห็นใจเพราะตนเองไม่รู้ว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมหรือไม่

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปพบกับนางดวงเดือน อายุ 38 ปี เป็นแม่ของนายก้อนเมฆ (นามสมมติ) อายุ 16 ปี ผู้ก่อเหตุ เปิดใจกับทีมข่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งยืนยันว่าหลังเกิดเหตุ ตนเองเป็นคนให้ครอบครัวช่วยกันตามหาตามทั้งคนตายและคนเจ็บในเฟซบุ๊กว่าเขาอยู่โรงพยาบาลไหน

หลังจากนั้นเมื่อพบผู้เสียหาย ก็เริ่มจากการไปรับผิดชอบฝั่งคนตาย โดยการไปจัดการงานศพให้ในเบื้องต้นจำนวน 30,000 บาท ซึ่งทางครอบครัวได้เป็นเจ้าภาพในงานศพให้ตลอดที่มีการตั้งสวดอภิธรรม ส่วนลูกชาย ก็ได้บวชหน้าไฟให้เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งหลังเสร็จเรื่องงานศพ ทางครอบครัวได้มีการเบิกเงิน พ.ร.บ.ให้ไปแล้วจำนวน 500,000 บาท

ส่วนกรณีเรื่องรถจยย.ของผู้ตายที่ตนเองสัญญาว่าจะซื้อให้ ยอมรับว่ายังไม่ได้ซื้อ เนื่องจากทางฝั่งครอบครัวคนตาย ต้องการเงินจำนวน 80,000 บาท ซึ่งตนเองก็ต่อรองขอจ่าย 50,000 บาท เพราะราคารถเงินสดไม่เกิน 60,000 บาท อีกอย่างรถคันดังกล่าวก็ใช้มานานแล้ว แต่ทางผู้ตายไม่เอาและอ้างว่าจะเอาเงินจำนวน 80,000 บาทเท่ากับราคาเงินผ่อนเท่านั้น จึงตกลงกันไม่ได้จากนั้นทางฝั่งคนตายก็ขอไปเจรจากันที่โรงพักโดยจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทั้งหมดจำนวน หนึ่งล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าตนเองไม่มีเงินก้อนถึงขนานนั้น เนื่องจากต้องนำเงินไปเยียวยาทางฝั่งคนเจ็บอีก จึงได้ขอต่อรองว่าจะจ่ายเพิ่มให้อีก 200,000 บาทรวมกับเงิน พ.ร.บ.ที่ได้ไปก่อนหน้านี้เป็นเงินทั้งหมด 700,000 บาท แต่ปรากฎว่าทางครอบครัวคนตายไม่ยอมและต้องการเรียกเงินเพิ่มเป็นเงินจำนวน หนึ่งล้านห้าแสนบาท กระทั่งมีการฟ้องกันต่อในชั้นศาล

ส่วนทางฝั่งคนเจ็บ เบื้องต้นตนเองได้นำเงินสดไปจ่ายเป็นค่าตัด พ.ร.บ.เพื่อเบิกเงินค่าใช้สิทธิรักษาจำนวน 30,000 บาท จากนั้นก็ได้จ่ายเงินเยียวยาไปให้เบื้องต้นอีกคนละ 50,000 บาท รวมเป็น 130,000 บาท กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ก็ได้เบิกเงินจาก พรบ.ให้ไปอีกคนละ 50,000 บาท รวมแล้วจ่ายให้ผู้บาดเจ็บไปจำนวน 23,0000 บาท หลังจากนั้นก็ได้มีการไปไกล่เกลี่ยกัน โดยตนเองยืนข้อเสนอขอจ่ายก่อนในเบื้องต้นคนละ 150,000 บาท และจะหาเงินมาจ่ายเรื่อยๆเท่าที่จะหาเงินมาได้ แต่ปรากฎว่าก็ไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ เนื่องจากทางฝั่งคนเจ็บ ต้องการเงินค่าเยียวยาเป็นเงินก้อนคนละ หนึ่งล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าตนเองไม่มีปัญหาหาเงินก้อนมาได้ในตอนนั้น ก็เลยตกลงกันไปว่าให้ดำเนินการฟ้องศาล หากศาลตัดสินให้จ่ายเท่าไหร่ตนเองก็จะรับผิดชอบตามคำพิจารณาของศาล ซึ่งถ้าหากถึงวันนั้นยังหาเงินก้อนไม่ได้ ก็คงต้องทำเรื่องขอผ่อนให้กับผู้บาดเจ็บ ยืนยันคำที่บอกว่าจะหาเงินมาจ่ายให้เรื่อยๆ เป็นความตั้งใจที่จะพยายามหาเงินมาจ่ายให้มากที่สุด

ส่วนประเด็นที่ทางฝั่งคนเจ็บบอกกับช่อง 8 ว่าหลังจากผู้บาดเจ็บกลับมารักษาตัวที่บ้าน ไม่เคยแม้แต่โทรหรือไปเยี่ยมเลยสักครั้ง ยอมรับว่าเป็นความจริง ซึ่งเหตุผลที่ไม่ได้ติดต่อไป ก็เป็นเพราะว่าตนเองโทรศัพท์ติดต่อไปกับพ่อของผู้บาดเจ็บ ซึ่งที่ต้องติดต่อไปหาแต่พ่อของผู้บาดเจ็บ เป็นเพราะคุยกับทางฝั่งแม่คนเจ็บไม่รู้เรื่อง อีกอย่างตนเองก็รู้สึกเสียใจที่คนเจ็บมาคอมเมนท์ด่าย่าของลูกชายที่เป็นผู้ก่อเหตุเสียๆหายๆ

ยอมรับว่าหลังจากข่าวช่องหนึ่งได้นำเสนอออกไปโดยไม่ตรงกับคำพูดที่ตนเองกับทางครอบครัวชี้แจงไป ก็ถูกสังคมประนามต่อว่าหาว่าทางครอบครัวจ่ายเงินไปเท่านั้นเท่านี้และอยากจะทำให้เรื่องมันจบ

อย่างไรก็ตามส่วนตัวยอมรับว่าลูกชายผิดทุกกรณี ซึ่งถึงตอนนี้ตัวลูกชายเองก็สำนึกผิด โดยทางครอบครัวจึงอยากขอโอกาสให้สังคมรวมถึงครอบครัวของผู้เสียหายอภัยให้กับลูกชาย ยืนยันตั้งแต่เกิดเหตุ ทางครอบครัวไม่ได้หนีปัญหาและตั้งใจที่จะรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากจะฝากช่อง 8 ให้เล่าข่าว ตรงตามรายละเอียดที่ชี้แจงเอาไว้ เนื่องจากมีอีกช่องหนึ่งทิ้งท้ายเอาไว้คล้ายๆกับประนามครอบครัวเอาไว้ว่า ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สมควรให้เด็กเอารถออกไปขับจนทำให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ซึ่งที่จริงแล้ว ไม่มีใครอยากจะให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

สภาพจิตใจหลานหลังเกิดเหตุก็ค่อนข้างแย่ เนื่องจากเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวในบ้าน ไม่ยอมเปิดประตูห้องออกมาเจอกับใคร เพราะว่าภาพเหตุการณ์จากวันเกิดเหตุยังคงตามหลอกหลอนหลานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลานบอกว่าหลังเกิดเหตุ ได้ยินเสียงคนมาเรียกมาเคาะประตูและทุกวันพระจะมีเสียงคนขว้างปาสิ่งของมาใส่หลังคาบ้าน


ด้านนางจันทร์เจ้า (นามสมมติ) อายุ 64 ปี เป็นย่าของผู้ก่อเหตุและเป็นเจ้าของรถ บอกว่า เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ยอมรับว่าส่วนของคนเป็นย่าก็ผิดที่ให้หลานขับรถไปโรงเรียนเองในวันเกิดเหตุ ซึ่งวันนั้นยอมรับว่าที่บ้านยุ่งกับการส่งมะพร้าวและไปส่งหลานไม่ทันจึงให้หลานขับรถไปโรงเรียนจนเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ยืนยันว่าหลานไม่ได้หนีไปไหน ซึ่งหลานยอมรับกับย่าในที่เกิดเหตุว่า ตอนเกิดเหตุจะเหยียบเบรคแต่เหยียบผิดไปเหยียบคันเร่ง ก็เลยต้องหักหลบกะทันหันเนื่องจากรถกำลังจะพุ่งไปชนคันหน้า ซึ่งวันนั้นถ้าหลานมีสติตัดสินใจชนคันหน้าก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

ซึ่งสภาพจิตใจหลานหลังเกิดเหตุก็ค่อนข้างแย่ เนื่องจากเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวในบ้าน ไม่ยอมเปิดประตูห้องออกมาเจอกับใคร เพราะว่าภาพเหตุการณ์จากวันเกิดเหตุยังคงตามหลอกหลอนหลานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลานบอกว่าหลังเกิดเหตุ ได้ยินเสียงคนมาเรียกมาเคาะประตูและทุกวันพระจะมีเสียงคนขว้างปาสิ่งของมาใส่หลังคาบ้าน

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวานนี้หลังจากหลานไปเห็นข่าวช่องหนึ่งออกไปแบบผิดบ้างจริงบ้างก็จิตใจย้ำแย่ขึ้นมาอีก โดยหลังจากนี้คงจะต้องนำตัวหลานไปรักษาอาการที่กำลังนำไปสู่อาการป่วยจิตเวช

ในส่วนตัวย่า ยอมรับว่าหลานผิดทุกอย่าง ไม่มีอะไรจะแก้ตัวแทนหลาน ข่าวช่องไหนมาหาย่าก็ให้ข้อมูลตามความจริง แต่ทุกช่องที่มา ไม่ได้นำเสนอในฝั่งของย่าเลยว่ารับผิดชอบไปอย่างไรบ้าง

ซึ่งจริงๆแล้วทางฝั่งคนเจ็บเขาก็เป็นญาติกับทางย่า และเขาก็รู้ดีว่าย่า เอาบ้านเอารถไปจำนองก่อนจะเกิดเหตุเพื่อมาลงทุนทำกิจการขายส่งมะพร้าว ซึ่งหากครอบครัวของย่ามีเงิน ทำไมรถที่หลานเอาไปก่อเหตุยังติดไฟแนนซ์อยู่ รวยจริงทำไมไม่ซื้อเงินสด ซึ่งทุกวันนี้ยังต้องส่งดอกธนาคาร เดือนละ 45,000 บาทและต้องส่งบ้านที่อาศัยอยู่รวมๆเดือนๆกว่าสองแสนบาท ยอมรับก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่บ้านค่อนข้างมีฐานะ แต่มาพักหลังเศรษฐกิจมันไม่ดี ซึ่งตอนนี้รถที่ชนก็ปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดไปแล้ว และเงินที่หามาจ่ายให้เป็นเงินเยียวยาไปเบื้องต้น ก็ไม่ใช่เงินเก็บของทางครอบครัว แต่เป็นเงินที่เอารถอีกคันไปเข้าไฟแนนซ์ ยืนยันครอบครัวไม่ได้รวย และไม่ได้ตอหลดตอแหลมานั่งพูดโกหกให้นักข่าวฟัง ยืนยันถ้าหาเงินมาได้เพิ่มก็จะเอาเงินไปเยียวยาตามคำสั่งของศาล

ช็อก! เด็ก ม.ต้น ซิ่งรถขยี้ 3 ชีวิต หลอนวันพระคนตายมากวน เหยื่อติดเตียงไร้เงินจ่าย