"ศรีสุวรรณ" ไม่สน! ร้อง กกต. สอบ "สายัณห์" ส.ส.พปชร. กรณีปฏิทินขึ้นรูปคู่ "ประยุทธ์" แม้ยังไม่ผลิต แต่ความผิดสำเร็จแล้ว

วันที่ 22 ธ.ค. 2565 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นร้องเรียนต่อกก. เพื่อขอให้ตรวจสอบ นายสายัณห์ ยุติธรรม ..นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ กรณีที่ได้มีการทำปฏิทินพร้อมขึ้นรูปคู่กับพล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รม.กลาโหมว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (...) ว่าด้วยพรรคการเมือง2560 และ...ว่าด้วยการเลือกตั้ง..2561 หรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาว่าจะผิดกฎหมายหรือไม่ และเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 65 นายสายัณห์ ก็ได้ออกมาชี้แจงต่อเรื่องดังกล่าวว่าเป็นเพียงการทำเป็นกราฟิกยังไม่ได้เอาไปทำเป็นปฏิทินแจกประชาชนแม้แต่แผ่นเดียว เพียงแต่มีการส่งภาพกราฟิกนี้ให้เพื่อนดูเป็นการส่วนตัวแล้วภาพนั้นมีการหลุดออกไป และนายสายัณห์ ยังบอกว่าการกระทำครั้งนี้ยังไม่เป็นความผิดสำเร็จ ซึ่งตามจริงแล้วความผิดมันได้สำเร็จตั้งแต่ได้มีการทำกราฟิกขึ้นมาแล้วส่งให้เพื่อนดูแล้ว เพราะเพื่อนของนายสายัณห์ถือว่าเป็นบุคคลที่สาม และไม่สามารถที่จะควบคุมได้ว่าภาพกราฟิกนั้นจะไม่ถูกนำเอาไปเผยแพร่ได้อย่างไร ด้วยทุกวันนี้การหาเสียงไม่จำเป็นต้องมาแค่ผลิตเป็นปฏิทิน หรือป้ายไวนิลอย่างเดียว แต่การหาเสียงในปัจจุบันนี้เป็นการหาเสียงผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ดังนั้นการส่งภาพสวัสดีปีใหม่และมีรูปคู่กับนายกฯ และมีชื่อพรรคการเมืองอื่น โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รับอนุญาตนั้นมีความผิด อีกทั้งการที่นายสายัณห์ออกมาปฏิเสธว่าภาพนั้นยังไม่ได้เผยแพร่ตนมองว่าไม่ใช่ เพราะเรื่องนี้ถือว่าได้มีการเผยแพร่ออกมาแล้วและจะนำไปสู่การเข้าข่ายการหาเสียงที่ผิดกฎหมายตามกฎเหล็ก 180 วันที่ทาง กก.ได้ออกประกาศไว้

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้เข้าข่ายผิดทั้ง ...ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ...ว่าด้วยพรรคการเมือง จึงอยากให้ กก.ตรวจสอบ ซึ่งถ้าผิดจริงเรื่องนี้..จะได้รับโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี ส่วนพรรคร่วมไทยสร้างชาติและร้องทุกข์กล่าวอะไรหรือไม่นั้นก็ทำได้ แต่นายสายัณห์ที่ออกมาปฏิเสธนั้นตนมองว่าไม่มีน้ำหนักอะไรเลย ส่วนที่ทาง กก.ออกมาระบุว่าเรื่องนี้จะตรวจสอบหาข้อเท็จจริงนั้นตนเองก็ได้ยินมา แต่เชื่อว่าทางกก.อาจจะยังไม่มีต้นเรื่องของเรื่องนี้ตนจึงได้นำต้นเรื่องมาให้ กก.เอง เพราะเวลาไม่มีต้นเรื่องให้ได้สืบเรื่องนั้น แล้วเวลาเรามาสอบถามความคืบหน้าอาจจะไม่ได้ดำเนินการ ฉะนั้นทางเราจึงนำเรื่องมายื่นเพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป