"ครูยุ่น" อ่วม! ตำรวจแจ้งเพิ่ม 2 ข้อหนักค้ามนุษย์ ยอมรับเสียใจมาก ยืนยันว่ามูลนิธิฯ ไม่ใช่สถานที่กักกัน ยังอยากเห็นเด็กไปโรงเรียน พร้อมปฎิเสธทุกข้อหา

วันที่ 2 ธ.ค.65 เมื่อเวลา 10.00 น. นายมนตรี สินทวิชัย หรือครูยุ่น อดีต ส.ว.สมุทรสงคราม เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปิยะชัย มั่นคง รองผู้กำกับสอบสวน สภ.อัมพวา รับทราบข้อหาค้ามนุษย์เพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้ได้ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายเด็กในมูลนิธิฯ ไปแล้ว 1 ข้อหา โดยมีนายแก้วสรร อติโพธิ ประธานมูลนิธิคุ้มครองเด็กเเละนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ในฐานะทนายความครูยุ่น เดินทางมาด้วย โดยทั้ง 3 ได้เข้าให้ปากคำและไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟัง

โดยก่อนเข้าห้องสอบสวน นายมนตรี "ครูยุ่น" กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองคาดไม่ถึงว่าจะถูกกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ ในชีวิตตนเองไม่เคยคิดเพราะทำงานเกี่ยวกับคนและถือมากเรื่องสิทธิของชาวบ้าน ยอมรับว่าเสียใจมาก แต่ตนเองก็มีสิทธิ์ที่จะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง ซึ่งตนเองก็ยังมีความหวังกับสังคมนี้ว่าอยากเห็นอะไรที่มันดีงาม และเห็นรถรับส่งนักเรียนไปโรงเรียนทุกวัน เด็ก ๆ แต่งตัวไปโรงเรียน เด็ก ๆ เข้าวัด เข้าสวนอย่างอิสระ ตนเองเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็เห็น จึงยืนยันได้ว่าเท่าที่ประชาชนเห็นสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่กักกันแน่นอน ตนเองอาจรู้สึกเข็ด แต่งานที่เกี่ยวกับสังคมก็คงทำต่อไป

ครูยุ่น ยังระบุอีกว่า ตนเองเดินมาตรงนี้ตลอดชีวิตตั้งแต่นุ่งกางเกงขาสั้นเดินสนามหลวง ผ่านมาแต่ละช่วงแต่ละวัย อีกทั้งเมื่อตนเองเป็น ส.ว.ตนเองใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตไปทำหน้าที่ ไม่ต้องให้ตนเองบอกว่าตนเองทำหน้าที่อย่างไร ให้ไปตรวจสอบการทำงานของตนเองว่าตนเองเป็นอย่างไร ตนเองเคยใช้ตำแหน่งหน้าที่เหนือชาวบ้านหรือเปล่า ส่วนที่ถามว่าการถูกแจ้งข้อหาค้ามนุษย์เป็นการกลั่นแกล้งไหม ตนเองเรียนว่า เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่เขาต้องทำ แต่สังคมจะตัดสินอย่างไรว่าการตั้งข้อหาค้ามนุษย์ถูกต้องหรือไม่

ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ กล่าวว่าตนเองเป็นประธานมูลนิธิคุ้มครองมากว่า 10 ปี คนอย่างตนเองเห็นเด็กถูกบังคับ ขู่เข็น ผมคงไม่ยอม ที่ตนเองรักครูยุ่นเพราะครูยุ่นรักเด็ก ส่วนรีสอร์ตที่ถูกกล่าวหาว่านำเด็กไปใช้แรงงานตนเองเคยเข้าไปบ่อยครั้ง ก็เห็นเด็ก 2-3 คน มีความสุขดี เก็บใบไม้ เช็ดกระจก ยกจาน ได้ทิปก็ดีใจ ซึ่งจะมาเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ เพราะวันธรรมดาต้องเรียนหนังสือ ตนเองไม่เข้าใจว่าที่หาว่าบังคับเด็กบังคับอย่างไร ดังนั้นพนักงานมอบสวนต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง ที่ผ่านมาทำเหมือนว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้ครูยุ่นไปสู้และไปหลุดที่ศาล ทั้งที่หน้าที่หาความบริสุทธิ์อยู่ที่พนักงานสอบสวน การทำร้ายร่างกายกับการทำโทษมันคนละเรื่องกัน ขนาดครูตีเด็กยังไม่ติดคุกหากเกินกว่าเหตุก็โดนดำเนินการทางวินัย ตนมองว่าถ้าครูยุ่นจะผิดจริงก็คือผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กว่าลงโทษเด็กเกินสมควรหรือไม่ โทษแรงขนาดไหนก็ว่ากันไปตามนั้น แต่มากล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายก็โอเวอร์เกินไป

นายแก้วสรร กล่าวถึงกรณียื่นอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตมูลนิธิฯ ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเวลา 60 วัน ในการพิจารณาตนเองมองว่าประเด็นไม่ยาก ข้อกฎหมายทั้งนั้น 2 วันก็สั่งได้แล้ว หากไม่ถูกต้องตนเองก็ฟ้องศาล ส่วนประเด็นการเพิกถอนใบอนุญาตอยู่ที่เขาตั้งต้นผิดกล่าวหาทำร้ายร่างกายอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่สามารถเอาผิดได้ เนื่องจากเป็นการทำโทษ จึงหันมาหาเรื่องอื่นเพื่อออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เพราะรับเด็กอายุไม่ตรงกับใบอนุญาต ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบตามอำเภอใจของท่านที่เป็นการใช้อำนาจผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะถ้าบุคลากรสถานสงเคราะห์กระทำไม่ถูกต้องจะสั่งตักเตือนก็ได้ สั่งให้เปลี่ยนตัวพักหน้าที่ก็ได้ หรือถึงขนาดเข้าควบคุมบริหารแทนก็ได้ ทางเลือกที่กล่าวมาทั้งหมดถูกท่านละทิ้งไป ซึ่งทุกขั้นตอนเท่าที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่สุจริตไม่ตรงต่อวัตถุประสงค์ที่กฎหมายได้ให้อำนาจไว้ทั้งสิ้น อย่างไรตามวัตถุประสงค์บ้านพักเด็กต้องการให้พัฒนาและช่วยเหลือเด็ก และอีกหลายอย่าง ดังนั้นในอนาคตอาจจะสงเคราะห์เด็กเล็ก ๆ ส่วนเด็กโตมีปัญหาใส่ร้ายกันแบบนี้ก็คงไม่เอา ก็ได้ ซึ่งตนขอปรึกษากันก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากสอบปากคำแล้ว ตำรวจแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก 2 ข้อหา คือ บังคับใช้แรงานเด็ก อายุไม่เกิน 15 ปี และใช้แรงงานเด็กอายุเกิน 15 ปีแต่ไม่ได้ค่าแรงขั้นต่ำ ตาม พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ กรณีนำเด็กไปทำงานที่รีสอร์ท หลังจากก่อนหน้านี้ตำรวจได้แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายเด็กไปแล้ว 1 ข้อหา ซึ่งทั้งหมดครูยุ่นให้การปฏิเสธทุกข้อหา และพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวครูยุ่นโดยไม่ได้ให้มีการประกันตัวแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก