คืบหน้า กรณีเด็กหญิงวัย 12 ปี ตั้งท้องปริศนาจนคลอด ล่าสุดผลตรวจ DNA ทำช็อก! ผลดันตรงกับพ่อแท้ ๆ ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม พ่อเด็กหญิงวัย 12 ทันที ขณะที่แม่ของเด็ก-ญาติยังคงคาใจ ลั่น ไม่น่าจะเป็นไปได้ ส่วนเด็กหญิงบียืนยัน "พ่อไม่ได้ทำ"

 


วันที่ 21 มี.ค.2565 สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 แม่เด็กหญิงบี ได้พาเด็กหญิงบี (นามสมมุติ) อายุ 12 ปี บุตรสาวเข้าแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายโสภณ อายุ 51 ปี ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงบีจนตั้งท้อง และได้คลอดบุตรสาว เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564

ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้เรียกตัวนายโสภณ มาสอบปากคำ และแจ้งข้อกล่าวหาว่า พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี รวมทั้งทำการอนาจาร และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งนายโสภณให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และยืนยันว่าตนเองไม่ได้กระทำชำเราเด็กหญิงบี และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจดีเอ็นเอ ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งกับแม่เด็กหญิงบีว่า ผลการตรวจดีเอ็นเอ พบว่า นายโสภณไม่มีความเกี่ยวพันกับบุตรสาวของเด็กหญิงบีแต่อย่างใด

ด้านแม่เด็กหญิงบี ได้ร้องขอความช่วยเหลือ กับหมอปลา มือปราบสัมภเวสี เพื่อขอให้หมอปลาช่วยดำเนินการพิสูจน์ความจริงในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเด็กหญิงบียืนยันว่า ถูกนายโสภณข่มขืนกระทำชำเราจริง จนเมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมา นางสาวรภัสสรณ์ ฤทธิธนไพบูลย์ หรือน้ำฟ้า ภรรยาของหมอปลา พร้อมด้วยนายกฤษฎา โลหิตดี หรือ "ทนายโนบิตะ" พร้อมด้วย พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือหมอเกศ และนายภาณุมาศ จิตวศินกุล หรือเฮียเปี๊ยก ได้เดินทางมาพบกับ พ่อ และแม่ของเด็กหญิงบี เพื่อให้การช่วยเหลือแก่ครอบครัวของเด็กหญิงบี จากนั้นได้เข้าพบ พ.ต.อ.สมจิตร เหล่ามงคลนิมิต รอง ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร และพนักงานสอบสวนในคดีข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงบี เพื่อขอความเป็นธรรมที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร อีกทั้งขอให้มีการตรวจดีเอ็นเอซ้ำรอบที่ 2 ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บตัวอย่างเพื่อนำไปตรวจดีเอ็นเอต่อไป แต่ไม่ได้ตรวจแค่ผู้ที่ถูกกล่าวหาเท่านั้น ยังรวมไปถึงญาติของเด็กหญิงบีด้วย

ซึ่งหลังจากตรวดีเอ็นเอ ผลปรากฎว่า ผลตรวจดีเอ็นเอไม่ตรงกับผู้ต้องสงสัย แต่กลับตรงกับพ่อของเด็กหญิงบี ตำรวจภูธรอำเภอดงหลวงจึงเชิญตัวบิดาของเด็กหญิงบีไปสอบปากคำเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. 65 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านของแม่เด็กหญิงบี โดยแม่เด็กหญิงบีเล่าว่า ตนเองสงสัยในผลตรวจดีเอ็นเอว่า เขาตรวจกันยังไง แล้วทำไมผลตรวจถึงตรงแค่กับพ่อแท้ ๆ ของเด็กหญิงบีได้ ในเมื่อเด็กหญิงบีเป็นลูกของตนเอง กับสามี ดังนั้นผลตรวจดีเอ็นเอมันคงจะออกมาตรงกับใครสักคน ซึ่งเป็นตากับยายของเด็ก อีกทั้ง ตนเองขอดูเอกสารผลการตรวจดีเอ็นเอ แต่กลับได้รับคำตอบว่าเป็นเอกสารทางราชการ หากอยากดูให้ไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งจากนี้ตนเองจะยื่นคำร้องขอดูเอกสารผลการตรวจดีเอ็นเอตามคำแนะนำ

โดยเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจชุดสืบสวนมาเชิญพ่อของเด็กหญิงบีไปให้ปากคำที่ สภ.ดงหลวง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร จากนั้นทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งว่า ดีเอ็นเอที่ส่งตรวจนั้นตรงกับสามีตนเอง ตำรวจจึงได้คุมตัวสามีตนเองไว้ แต่ทั้งนี้ แม่เด็กหญิงบี เผยว่า รู้สึกตกใจ และทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากตนเองไม่เชื่อว่า ดีเอ็นเอของเด็กจะตรงกับสามี และมั่นใจว่าสามีไม่ได้กระทำชำเราลูกสาวแน่นอน เพราะเด็กหญิงบีบอกว่าพ่อไม่ได้ทำ

ประกอบกับการสอบถาม เด็กหญิงบี พบว่าเด็กหญิงบียังคงยืนยันคำเดิมว่า พ่อไม่ได้กระทำชำเรา ส่วนคนที่กระทำคือ นายโสภณ อายุ 51 ปี ซึ่งกระทำบริเวณเถียงนา

เบื้องต้น พ่อของเด็กหญิงบี ได้ให้การปฏิเสธ ทางเจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไปสอบสวนก่อนนำตัวไปฝากขังกับศาลจังหวัดมุกดาหาร ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 มี.ค. 65 และคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลต่อรูปคดี

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้โทรสอบถามไปยัง แม่ของเด็กหญิงบี พบว่า ขณะนี้แม่ของเด็กหญิงบีกำลังเดินทางไปยังจังหวัดอำนาจเจริญ เพื่อไปขอหนังสือรับรองว่า ลูกสาวของตนเองคือ เด็กหญิงบี กำลังเรียนอยู่ที่จังหวัดอำนาจเจริญจริง โดยจะนำเป็นหลักฐานเพื่อให้ศาลอนุญาตประกันตัวสามี ส่วนการที่ประกันตัวออกมาแล้วนั้น จะไม่มีทางส่งผลต่อรูปคดีแน่นอน ทั้งนี้จะมีการยื่นประกันตัวในวันพรุ่งนี้ (22 มี.ค. 65)

สำหรับหนังสือการรับรองการตรวจดีเอ็นเออย่างเป็นทางการที่ แม่ของเด็กหญิงบีสงสัยว่า เมื่อขอดูแล้วทางเจ้าที่ตำรวจยังไม่ให้ดูนั้น ด้านผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือหมอเกศ ผู้ที่เข้าให้การช่วยเหลือทางครอบครัวเด็กหญิงอายุ 12 ปี เพื่อขอให้มีการตรวจดีเอ็นเอรอบที่ 2 ทั้งนี้ ได้รับคำตอบว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างออกผลการตรวจดีเอ็นเอ ที่เป็นเอกสารใช้เวลาอีกประมาณ 2 วัน โดยทางตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะยึดตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก