ก.วัฒนธรรม-ก.ท่องเที่ยว-สธ. ร่วมกับร้านนวดและสปากว่า 57 ประเทศทั่วโลก ผุดโครงการ 'แลนด์มาร์กนวดไทย' ชูมรดกภูมิปัญญานวดไทย สมุนไพร และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสมาพันธ์โลกนวดไทยและสปา ที่มีสมาชิกกว่า 57 ประเทศทั่วโลก และไอคอนสยาม ร่วมแถลงความร่วมมือใน 'โครงการแลนด์มาร์กนวดไทย' เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย" แสดงศักยภาพ ความพร้อม ในการร่วมสืบสาน ต่อยอด ภูมิปัญญานวดไทย สมุนไพรไทย และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ บรรเทาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการ และร่วมกันร่วมผลักดันและยกระดับมาตรฐานให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (MEDICAL HUB) และวันที่ 29 ต.ค. เป็นวันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ผลกระทบจากโควิด-19 สร้างจุดเปลี่ยนให้ผู้บริโภคใส่ใจในการดูแลสุขภาพมากขึ้น นับเป็นโอกาสประชาสัมพันธ์ส่งเสริมภูมิปัญญาวัฒนธรรม "นวดไทย" ศาสตร์บำบัดและรักษาโรคแขนงหนึ่งของการแพทย์แผนไทย ให้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพทั่วโลก ปัจจุบันมีองค์กรต่าง ๆ ที่ส่งเสริมและพัฒนาการนวดไทย กว่า 50 องค์กร รวมไปถึงองค์กรภาควิชาชีพ สถาบันการเรียนการสอน และสถานประกอบการเพื่อสุขภาพทั่วประเทศ อีกทั้งเครือข่ายความร่วมมือจากสมาพันธ์โลกนวดไทยและสปาที่มีสมาชิกกว่า 57 ประเทศทั่วโลก ดังนั้น โครงการ "แลนด์มาร์กนวดไทย" จึงเป็นโครงการที่จะจัดขึ้นในโอกาสที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนนวดไทย มรดกวัฒนธรรมอันล้ำค่าของไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ และประชาสัมพันธ์การนวดไทยและสมุนไพรไทยเพื่อดูแลและฟื้นฟูสุขภาพทั่วโลก รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดรายได้แก่ผู้ประกอบการและเครือข่ายด้านการนวดไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical and wellness Tourism) โดยมีกิจกรรมภายในงาน อาทิ สาธิตศาสตร์การนวดและการแพทย์แผนไทย, ฝึกอบรมการนวดไทยของบรมครูด้านการนวดจากทั่วทุกภูมิภาคของไทย และการแข่งขันนวดไทยชิงแชมป์โลก ขณะนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 25 ประเทศทั่วโลก

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) เป้าหมายหลักเพื่อสร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตในภาคการท่องเที่ยวและบริการอย่างยั่งยืน เพิ่มความหลากหลายของการท่องเที่ยวในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ทำให้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยมีโอกาสขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยเร่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นด้วยการส่งเสริมมาตรฐาน SHA(Safety & Health Administration) และ SHA Plus เพื่อตอบสนองนโยบายเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการสถานประกอบการในประเทศไทย เกิดความมั่นใจในการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวไตรมาส 4 (ตุลาคม ถึง ธันวาคม) ปี 2564

ขณะที่นางชุติมา แฮล์ก ประธานสมาพันธ์โลกนวดไทยและสปา ระบุว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สถานประกอบการด้านความงาม สุขภาพ ร้านนวดแผนไทยและสปา ต้องหยุดให้การบริการอย่างยาวนาน และส่วนหนึ่งต้องปิดกิจการอย่างถาวร เนื่องจากรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว ส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก ในฐานะผู้ประกอบการนวดที่อยู่ต่างแดน และประธานสมาพันธ์โลกนวดไทยและสปา ปัจจุบันเรามีสมาชิกอยู่ 57 ประเทศทั่วโลกจึงได้รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ แนวคิดการบริการรูปแบบใหม่ สร้างมาตรฐานและความเชื่อมั่นในระดับสากล อาทิ การนวดกระตุ้นภูมิคุ้มกัน นวดระบายน้ำเหลืองช่วยให้ภูมิคุ้มกันมากขึ้น รวมทั้งยังจัดฝึกอบรมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อกระตุ้นสร้างความเชื่อมั่นแรงบันดาลใจให้กับคนไทยและชาวต่างชาติที่หลงไหลในเสน่ห์ของศาสตร์การแพทย์แผนไทย

สำหรับ 'โครงการแลนด์มาร์กนวดไทย' มีกำหนดการจัดกิจกรรมในเดือน ธ.ค.2564 โดยมุ่งประชาสัมพันธ์มรดกภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ และเพื่อตอกย้ำและร่วมผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (MEDICAL HUB) ผู้สนใจสามารถติดตามกิจกรรมโครงการได้ที่เฟซบุ๊ก 'Landmark Nuad Thai'