พ่อ-แม่น้องชมพู่ หอบหลักฐานแจ้งความสื่อสำนักหนึ่ง และชาวเน็ต กรณีโพสต์ว่า รับเงิน 3 ล้านบาท เตรียมสร้างหนัง "บ้านกกกอก" ขณะที่ผู้ใหญ่บ้านเตรียมเพิ่มมาตรการหวั่นโควิดระบาด หลังคนแห่เที่ยวบ้านกกกอกต่อเนื่อง

วันนี้ พ่อ-แม่น้อง ชมพู่ นำหลักฐานเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สภ.กกตูม จังหวัดมุกดาหาร ให้เอาผิดสื่อบางสำนัก เพจข่าว รวมไปถึงชาวเน็ต ที่เผยแพร่และส่งต่อข้อมูลเท็จ ทำให้เสียหายว่า รับข้อเสนอของ คุณอุ๊บ - วิริยะ พงษ์อาจหาญ นักปั้นมือทอง เป็นเงิน 3 ล้านบาท เตรียมสร้างหนังเรื่อง “บ้านกกกอก”

แม่น้องชมพู่ ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง การพูดคุยของคุณอุ๊บ - วิริยะ เมื่อวานนี้ ตัวเองยังยืนยันว่าไม่ต้องการให้สร้างหนังเรื่อง “บ้านกกกอก” เพราะคดียังไม่จบ ตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ และยังมองว่า จะเป็นการตอกย้ำความสูญเสียของครอบครัวด้วย

ซึ่งคุณอุ๊บ - วิริยะ ก็เข้าใจ และให้กำลังใจครอบครัว อีกทั้งยังบอกด้วยว่า การสร้างหนังเป็นเรื่องของอนาคต หากเวลาผ่านไป 10-20 ปี แล้วครอบครัวมีความพร้อมค่อยมาพูดคุยกัน จะได้ค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งอยู่ที่หลักหมื่นบาทเท่านั้น

แม่ของน้องชมพู่ ย้ำว่า เมื่อวานน ี้ไม่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องเงินจำนวน 3 ล้านบาท ซึ่งข่าวที่มีการนำเสนอออกไปไม่เป็นความจริง และทำให้ได้รับความเสียหายอย่างมาก

ขณะที่บ้านกกกอก อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ช่วงหลังมีคนเดินทางมาติดตามข่าวของน้องชมพู่ จำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับ ลุงพล ลุงเขยของน้องชมพู่ โดยมาให้กำลังใจไม่ขาดสาย เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19

นายนิ่ม เงินนาม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ยอมรับว่า ทางจังหวัดมุกดาหาร ก็มีความห่วงในเรื่องนี้ เพราะยังถือว่าอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง และบางคนที่เข้ามาในพื้นที่ก็ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย และไม่ได้ยึดมาตรการ Social Distancing ดังนั้นวันนี้ ทางอำเภอดงหลวง จะประชุมเกี่ยวกับประเด็นนี้ เพื่อวางแนวทางป้องกันโรค

ขณะที่โลกโซเชียลพากันแชร์ข่าวว่า รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เตรียมสร้างรูปปั้นน้องชมพู่ เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ควบคู่กับการท่องเที่ยวเขาภูเหล็กไฟ ซึ่งเป็นเส้นทางย้อนรอยดคีของน้องชมพู่ แห่งบ้านกกกอก

ล่าสุด นายบุญช่วย น้อยสันเทียะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจริง และไม่เคยให้สัมภาษณ์ลักษณะนั้น คาดว่า ข่าวที่ออกไป มีบุคคลไม่หวังดีบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร สร้างกระแสให้เกิดความเข้าใจผิด ดังนั้น ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และหยุดแชร์ เพราะอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 มีโทษจำคุก​ 5​ ปี​ ปรับ​ 100,000​ บาท