ช้ำรักเปย์สาว 2 ล้าน โดนทิ้งเหลือให้ดูแค่ชุดกากี แม่ปากแซ่บเปย์เองอย่าทวงคืน

กรณีมีผู้เสียหาย นายณัฐ ช่างรับเหมา วัย 50 ปี ร้องผ่านเพจรายการหนึ่งว่า ถูกผู้หญิง มีอาชีพเป็นครูที่ภาคอีสาน ก่อนย้ายมางานที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา โดยหลอกแต่งงานและหลอกโอนเงินซื้อที่เสียเงินนับ2ล้านบาท

ทีมข่าวช่อง8 ลงพื้นที่ไปเจอกับนายณัฐ (นามสมมติ) อายุ50ปี ช่างรับเหมาก่อสร้าง ในพื้นที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยผู้เสียหายพาทีมข่าวไปดูบ้านปูน2ชั้น ซึ่งเคยเป็นรังรัก ตอนที่ทั้งคู่มีการคบหากัน ระหว่างนายณัฐผู้เสียหาย กลับตัวของนางสาวดุษฎี ผู้ถูกกล่าวหา โดยทั้งคู่คบหาและอยู่ด้วยกันตั้งแต่ปี 2564 ก่อนที่จะถูกจับได้เมื่อเดือนที่แล้ว เคยอยู่อาศัยด้วยกันที่บ้านหลังดังกล่าว

โดยแม้ว่าวันนี้หลังจากที่นางสาวดุษฎีผู้ถูกนายณัฐผู้เสียหายจับได้ มีการขนข้าวของบางอย่างย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น แต่ยังคงมีข้าวของเครื่องใช้บางส่วนและรวมถึงรูปถ่ายที่ทิ้งเอาไว้ในบ้านหลังดังกล่าว

เมื่อไล่ย้อนเส้นทางรัก พบว่ารู้จักทางเฟซบุ๊ก เมื่อพ.ย.2564 มีการทักหาทำนองว่าเหงา โดยเมื่อ ธ.ค.2564 ได้นัดเจอกัน ไปเที่ยวที่พัทยา โดยมีการหลอกว่าสอบติดและได้รับงานที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ก่อนที่นางสาวดุษฎีอ้างว่าย้ายตำแหน่งงานใหม่

โดยเมื่อมีนาคม 2565 เริ่มมีการโอนเงินให้กันประมาณ 85,000 บาท หลอกว่าได้เข้าบรรจุราชการที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร

และเมื่อก.ค. 2565 ได้แต่งงานกัน ค่าสินสอด 200,000 บาท พร้อมทอง 4 บาท ค่าจัดงานหมดเงินไปประมาณ 60,000 บาท รวมถึงเริ่มมีการวางแผนอนาคตตัดสินใจซื้อที่ดิน 1,200,000 บาท ที่จ.มหาสารคามบ้านฝ่ายหญิง

ระหว่างที่คบหากันมีทองเก็บ 13 บาท ถูกทยอยนำไปขายและซื้อทองปลอมมาคืน จากนั้น เริ่มตรวจสอบการบรรจุราชการ ซึ่งไม่มีข้อมูลปรากฏ และตรวจสอบประวัติความรักหลายคน และถูกหลอกเหมือนกัน

จากนั้นได้สอบถาม ก่อนที่นางสาวดุษฎีจะหนีไป เมื่อ 29 พ.ค. 2566

ทีมข่าวสังเกตภายในบ้าน สังเกตว่าบริเวณผนังบ้านยังคงมีรูปถ่ายของนางสาวดุษฎีติดอยู่ข้างฝา ซึ่งมีภาพของนางสาวดุษฎีเป็นภาพขนาดใหญ่1กรอบ และภาพถ่ายอัดกรอบเล็ก อีกประมาณ3กรอบ โดยตัวของผู้เสียหายยังไม่ได้มีการแกะออกติดเอาไว้ที่ชั้นล่างของบ้านเหมือนเดิม , แต่ส่วนเสื้อผ้าบางส่วน ที่นางสาวดุษฎีไม่ได้เก็บออกไปด้วย ตัวของผู้เสียหายได้มีการเก็บใส่กระสอบและตะกร้าเอาไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บของ โดยสังเกตว่าส่วนใหญ่จะเป็นข้าวของเครื่องใช้ซึ่งเป็นเสื้อผ้าส่วนตัว รวมทั้งผ้าถุง เก็บใส่ตะกร้าเอาไปทิ้งไว้ในห้องเก็บของ

และระหว่างนั้นตัวของนายณัฐ ผู้เสียหาย ยังได้มีการหยิบเอาชุดข้าราชการสีขาว และชุดข้าราชการสีกากี โดยเป็นเครื่องแบบสวมใส่ของนางสาวดุษฎีผู้ถูกกล่าวหา เอามาโชว์ให้ทีมข่าวดู โดยเจ้าตัวอ้างว่า ชุดดังกล่าวนั้นเป็นเงินที่ตัวเองซื้อให้หลังจากที่นางสาวดุษฎีอ้างว่าสอบติดหรือย้ายมาประจำที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรได้ ตนเองเป็นคนพาไปซื้อและตัดชุด โดยชุดขาวตัดให้ในราคา 5,000 บาทรวมอินทรธนูและเครื่องหมาย ส่วนชุดข้าราชการสีกากีมีการตัดอยู่ที่ราคา 3,000 กว่าบาท หลังจากที่ตนเองจับได้ว่าตัวของนางสาวดุษฎีผู้ถูกกล่าวหา ไม่ได้มีตำแหน่งราชการหรือรับราชการจริง จึงยึดชุดดังกล่าวเอาไว้ ไม่ให้ตัวของนางสาวดุษฎีเอาติดมือไปด้วย กลัวว่าจะเอาไปหลอกคนอื่นและมีผู้เสียหายเพิ่ม

นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้มีการเอาสลิปการโอนเงิน ซึ่งตัวของฝ่ายนางสาวดุษฎี ผู้ถูกกล่าวหา เป็นอดีตเจ้าสาว โดยมีการโอนเงินระหว่างกัน ยอดต่ำสุดอยู่ที่ 40,000 บาท สูงสุดอยู่ที่หลัก200,000บาท โดยสลิปการโอนเงินทั้งหมดหากมีการรวมยอดมีการโอนเงินไปให้รวมกว่าประมาณ 1,600,000 บาท ขณะเดียวกันเจ้าตัวยังได้มีการนำทอง ซึ่งเป็นแหวน สร้อยคอทองคำ และสร้อยข้อมือ มาเทกองให้ทีมข่าวดู ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าทองทั้งหมดที่เทให้ดูนั้นมันคือทองปลอม ที่ถูกตัวนางสาวดุษฎีผู้ถูกกล่าวหา มีการซื้อทองปลอมลักษณะใกล้เคียงกัน มาเสริฟเปลี่ยนในช่วงระหว่างที่คบหากัน ฉะนั้นของที่เอามาเทให้ดูจึงเป็นทองปลอมทั้งหมด

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางสุณี (นามสมมติ) น้าของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ช่วงปี 2564 ตอนที่ตัวของนางสาวดุษฎีหรือดีเข้ามาในชีวิตของหลานชาย ตัวนี้ก็เข้าใจว่ามีการทักและพูดคุยกับทางเฟซบุ๊ก จนกระทั่งพากันมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ซึ่งก็เข้าใจว่าต่างคนต่างโสด และเป็นชีวิตคู่ที่มีการเลือกกันเอาไว้แล้ว จึงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไร เพราะเป็นเรื่องของชีวิตคู่และเข้าใจว่าเค้ามีการพิจารณากันมาเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจกลับบ้านได้เกิด และพากันไปจัดงานแต่งงานที่จังหวัดมหาสารคาม

แต่ตลอดช่วงที่ตัวของหลานชายและนางสาวดุษฎีอยู่ด้วยกันที่บ้าน ตนเองก็แวะเวียนมาทักทายและเจอกับทางนางสาวดุษฎีบ่อยครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็ดูแลคนในครอบครัว เทคแคร์กัน และคอยเป็นห่วงเป็นใหญ่คนในครอบครัวของตนเองเป็นอย่างดี บางครั้งก็ซื้อผักซื้อผลไม้มาให้ ซึ่งก็เข้าใจว่าตัวของนางสาวดุษฎีถือว่าเป็นคนที่ดูแลครอบครัวค่อนข้างดีคนหนึ่ง

สำหรับ สิ่งที่ทำให้ตนเองรู้สึกเอะใจเกี่ยวกับพฤติกรรม ของนางสาวดุษฎีว่าอาจจะไม่ได้ทำงานหรือมีโปรไฟล์จริงอย่างที่ให้ข้อมูลเอาไว้กับหลานชาย คือเรื่องของอาชีพที่ตัวเองอ้างว่าเป็นครู และอ้างว่าทำงานอยู่ที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร โดยตนเองเห็นว่าเจ้าตัวมีการสวมใส่เครื่องแบบข้าราชการหรือแต่งกายดีออกไปทำงานทุกวัน เคยถามว่าบ้านอยู่บางพลีแต่ไปทำงานถึงบางไทรไม่ขับรถไกลเกินไปหรือ เจ้าตัวก็บอกว่าไม่ไกลสามารถขับรถไหว และที่สำคัญเจ้าตัวก็จะออกจากบ้านแต่เช้าเวลาประมาณ 06.00 น. ทุกวัน แต่ผิดแปลกบางวันเที่ยงหรือบ่ายก็กลับมาถึงบ้านแล้ว และบางครั้งก็นอนอยู่บ้านทั้งที่ไม่ใช่วันหยุดราชการ เลยทำให้ตนเองรู้สึกแปลกว่าสรุปแล้วทำงานจริงหรือไม่ จนกระทั่งพากันไปสืบและพบว่าไม่ได้เป็นพนักงานราชการจริง จึงทำให้ทุกอย่างเริ่มที่จะรู้ความจริงมากขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะหนีไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ตนเองเข้าใจว่าเป็นเรื่องของชีวิตคู่ แต่ตัวเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าหลานชายจะถูกหลอก และเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตเกือบ 2,000,000 บาทก็หมดไปกับผู้หญิงคนนี้ ส่วนตัวจึงอยากให้ออกมารับผิดชอบและชี้แจงความจริง รวมทั้งเอาเงินมาคืนหลานชาย เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะหาเงินก้อนดังกล่าวกลับคืนมาได้

ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางไปที่บ้านพักของนางสาวดุษฎี ที่อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม โดยพบกับนางเล็ก (นามสมมติ) อายุ 68 ปี แม่ของนางสาวดุษฎี ชี้แจงว่า ตนเองยอมรับว่าลูกสาวของตนได้แต่งงานกับนายนัฐจริง โดยแต่งงานที่บ้านพักของตนหลังนี้เมื่อปี 2565 เงินจัดงานแต่งงานก็เป็นของฝ่ายชาย ซึ่งทั้งสองรักกันเลยตกลงใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน จากนั้นลูกสาวของตนก็ไปอยู่กับฝ่ายชายที่กรุงเทพ

ไม่ทราบว่าอดีตลูกเขยคับแค้นใจอะไรหรือโกรธอะไรลูกสาวตนถึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อ แล้วกล่าวหาว่าลูกสาวของตนไปหลอกเงิน ขอชี้แจงว่าลูกสาวของตนไม่ได้มีเจตนาหลอกฝ่ายชาย ตนยืนยันว่าลูกสาวของตนเคยเป็นข้าราชการแต่ไม่ทราบว่าตำแหน่งและสังกัดที่ใด ต่อมาก็ลาออกจากราชการแล้วไปอยู่กับฝ่ายชายที่กรุงเทพ ก่อนที่ทั้งคู่จะตกลงแต่งงานกัน

ยอมรับว่าฝ่ายชายโอนเงินมาให้ลูกสาวจริงแต่ตนไม่ทราบจำนวน ที่ผ่านมาเคยถามลูกสาวว่าสามีโอนเงินมาให้เท่าไหร่แต่ลูกสาวไม่เคยตอบคำถาม ส่วนเรื่องที่อดีตลูกเขยบอกว่าลูกสาวตนหลอกให้โอนเงินโดยอ้างว่าอยากจะไปซื้อที่ดินเพื่อเป็นทรัพย์สินครอบครัว ตนอยากบอกว่า อดีตลูกเขยและลูกสาว ว่าให้ตนไปคุยกับเจ้าของที่ดิน เพราะอยากได้ที่ แต่ตนยังไม่มีเวลาไปถาม แล้วยังไม่ได้ติดต่อไปซื้อหรือโอนเงินใดๆให้เจ้าของที่ดิน

แล้วยืนยันกับทีมข่าวว่าภาพที่ลูกสาวตนถ่ายรูปที่ดิน ที่ไปบอกอดีตสามีว่าจะซื้อที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ดินผืนเดียวกันกับที่ตนจะไปติดต่อซื้อ สำหรับเรื่องนี้ตนอยากบอกว่าเวลาไปงานทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานร่วมกันแต่เวลาเกิดปัญหามาก็มาโยนภาระให้พ่อแม่เป็นคนตอบอยากให้ทั้งคู่เคลียร์กัน

สุดท้ายอยากยืนยันอีกว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ทางฝ่ายชายโอนมาให้ลูกสาวตน ลูกสาวตนไม่ได้โอนมาให้ตนเก็บไว้ และไม่รู้เรื่องว่าฝ่ายชายโอนมาให้ทั้งหมดจำนวนเท่าไหร่

เปย์ 2 ล้าน ได้แค่เสื้อ 2 ตัว