"ชูวิทย์" ควง "ทนายอนันต์ชัย" แจง 3 ประเด็น "ทนายตั้ม" ผิดมารยาททนายความ หมิ่นประมาท หลักฐานอ่อน ย้ำเงินบริจาค ยังไม่เข้าข่ายการฟอกเงิน เพราะขาดเจตนา บอกใครกล้าฟ้อง "ชูวิทย์" เจอผมแน่

วันที่ 27 มี.ค.66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง พร้อมกับ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ในฐานะทนายความของนายชูวิทย์ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ณ ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ถึง 3 ประเด็น ในการจะยื่นฟ้องร้อง "ทนายตั้ม" หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ปมรับเงินสารวัตรซัว 6 ล้านบาท โดยระบุว่า วันนี้ (27 มี.ค.66) ไม่ได้ตั้งใจมาแถลงเรื่องของทนายตั้ม แต่บังเอิญว่า คุณชูวิทย์มีคดีที่ศาลอาญา กับนายสันธนะพอดี

ทนายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า เกี่ยวกับทนายตั้ม กรณีแถลงข่าวเรื่องรับเงิน 6 ล้านบาท 10 ล้านบาท 50 ล้านบาท เงินดิจิทัล โดยมีการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวหนึ่งถึง 2 ครั้ง หลังจากที่ดูแล้วพบว่ามีประมาณ 20 กว่าจุดที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทฯ โดยคุณชูวิทย์ได้โทรศัพท์มาหาตนเอง พร้อมถามว่า การกระทำเช่นนี้ของทนายตั้มถูก หรือ ผิด โดยวันนี้ตนเองจะแถลง 3 ประเด็น

ประเด็นแรก คือ ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาหรือไม่ โดยปกติแล้วตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 328 ซึ่งในกรณีคุณชูวิทย์อยู่ในช่วงเวลาที่กำลังเผยแผ่ ตีแผ่ เปิดโปง การทุจริต คอร์รัปชั่น ทุนสีเทา ซึ่งเป็นการเปิดเผยความจริง ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ในขณะเดียวกันกลับมีบุคคลหนึ่ง ออกมาแถลงข่าวเปิดโปง โดยที่ตนเองไม่มีส่วนได้เสีย ไม่ใช่ประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งในศาล หากไม่ใช่ประจักษ์พยาน ศาลจะไม่รับฟัง หากเป็นพยานบอกเล่า แล้วมาเล่าเป็นตุเป็นตะ แล้วมากล่าวหาว่าคุณชูวิทย์รับเงิน 10 ล้าน จากแทนไทบ้าง จากสารวัตรซัว ไม่ได้รับแค่ 6 ล้าน ส่วนเรื่องกล่องดวงใจ ลูกชายของคุณชูวิทย์รับเงินดิจิทัล 50 ล้าน ทั้งนี้ถ้าหากว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเขา ยิ่งจริงยิ่งผิด เรื่องส่วนตัวคนอื่น นำมาเผยแผ่มีความผิด เช่นนี้ทำให้คุณชูวิทย์เสื่อมเสียชื่อเสียง

ส่วนเรื่องถุงเงิน ทำไมต้องถ่ายถุง ทนายอนันต์ชัย ระบุว่า เพราะวันหนึ่งจะได้แบล็กเมล์คุณชูวิทย์ไง หากเป็นคนธรรมดา นำเงินมาให้จะถถายถุงไว้ทำไม แสดงว่า เป็นการจัดฉาก อีกประเด็นหนึ่งคือไม่มีพยานหลักฐานขณะที่คุณชูวิทย์รับมอบเงิน 6 ล้านบาท มีความเป็นไปได้ที่ถุงเงินถูกตั้งไว้แล้วที่โรงแรมเดวิส พอคุณชูวิทย์จะมาถึงปั๊บ เงินถูกยัดไป 2 ล้าน เป็นไปได้มั้ย มันหายระหว่างทาง พวกกินหัวคิว ถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ เป็นไปได้ ถ้าเป็นแบบนี้ ในการซักพยาน ตนเองเอาตายเลยนะ มีการถ่ายรูปเอาไว้ แล้วนำมาทำเป็นกราฟฟิก ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ แค่พยานหลักฐานแค่นี้ก็อ่อนแล้ว

ประเด็นนี้ ทนายอนันต์ชัย ระบุว่า เรื่องนี้จะไม่ให้คุณชูวิทย์ต้องมาพูดอีก คุณมีหน้าที่เปิดโปง เปิดความความจริง การทุจริต ทำไปเลย เรื่องนี้ตนเองจัดการเอง

ประเด็นที่ 2 คือผิดมารยาททนายความ ในฐานะที่ทนายตั้ม ถือว่าเป็นผู้มีวิชาชีพทางด้านกฎหมาย และมีการแถลงข้อเท็จจริง โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่คาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริง การกระทำนี้ตามข้อบังคับของสภาทนายความ พ.ศ.2529 มาตรา 3 ข้อ 9 การกระทำอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกัน เป็นคดีอันหามูลไม่ได้ โทษสูงสุดต้องลบชื่ออกจจากทะเบียนทนายความ ประเด็นนี้คุณชูวิทย์ต้องไปร้องต่อสภาทนายความต่อไป ทั้งนี้การเป็นผู้มีวิชาชีพทางด้านกฎหมาย จะต้องตรวจสอบพยานหลักฐานให้พร้อม ไม่ใช่มโนหลักฐาน

ประเด็นสุดท้าย ระบุว่า ต้องกราบเรียนถึงท่านโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ป.ป.ง. ที่จะมาเล่นเรื่องฟอกเงิน คุณชูวิทย์ไม่เหมือนมังกรฟ้า เพราะมังกรฟ้าไม่ฟังคำแนะนำของตนเอง อย่างคุณชูวิทย์ตนเองแนะนำให้ฟ้อง 157 มาตรา 200 เพราะฉะนั้น การพูดของตำรวจไม่ควรพูดว่าสุ่มเสี่ยง ต้องพูดว่าขอรวบรวมพยานหลักฐานก่อน และจะแถลงให้ทราบภายหลัง ตำรวจอย่ามาเล่นกับตนเอง ตนเองอาจจริงนะ ยุณชูวิทย์ขึ้นเลยนะ เดี๋ยวจะเดือดร้อนนะ

ทั้งนี้ทนายอนันต์ กล่าวว่า ในประเด็นนี้เรื่องการฟอกเงิน คุณชูวิทย์ไม่รู้ว่าเงินที่ได้มา มาจากเงินที่เล่นการพนัน หรือเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ เขาไม่ควรจะรู้ มาปิดปากเขา แต่เขาไม่รับ เขานำไปทำบุญ คือบางครั้งเวลาผู้ใหญ่ที่เกรงใจมาก ๆ นำของมาให้ ก็ปฏิเสธลำบาก ส่วนที่บอกว่า เวลานำไปบริจาค เหตุใดจึงไม่บอกทาวโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งว่าเงินได้มาจากสารวัตรซัว มันจะบอกได้ยัง มันเป็นเรื่องภายใน คุณชูวิทย์บอกว่า ตนเองนั้นเป็นคนสีเทา ยึดหลัก "ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน" นั่นเท่ากับว่า คุณชูวิทย์ขาดเจตนา กลับกันทนายตั้มรู้แหล่งที่มาของเงิน แต่กลับไม่ฟ้อง มาฟ้องคุณชูวิทย์ ตนเองขอย้ำไว้ตรงนี้ว่า ทั้งตำรวจ ป.ป.ง. ถ้าแจ้งคดีคุณชูวิทย์ "คุณเจอผมแน่"